ทนายความจังหวัดหนองบัวลำภู

ทนายความจังหวัดหนองบัวลำภู

เปิดหน้าต่อไป

คำพิพากษาฎีกาที่สำคัญ

คำพิพากษาฎีกา รวมทั้งหมด

คำพิพากษาฎีกา ชุดที่ 01

1. อายุความในคดีหมิ่นประมาท และข้อจำกัดสิทธิอุทธรณ์ในศาลแขวง  

2. ผู้ถือหุ้นมีสิทธิฟ้องกรรมการบริษัท เมื่อมีหลักฐานจากทะเบียนผู้ถือหุ้นรับรอง

3. ผลของการถอนคำร้องทุกข์ภายหลังคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว 

4. การปลดหนี้โดยข้อความทางเฟซบุ๊กถือเป็นหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ยกเลิกหนี้ได้

5. ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงมีสิทธิได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์เทียบเท่าลูกจ้างประจำ หากทำงานลักษณะเดียวกัน  

6. ดอกเบี้ยที่คิดล่วงหน้าเกินกฎหมายตกเป็นโมฆะ แต่หนี้เงินต้นยังคงสมบูรณ์

7. ตัวแทนกระทำเกินอำนาจ – การให้สัตยาบันโดยตัวการไม่ตัดสิทธิเรียกร้องความเสียหาย และผลของการละเลยเรียกหนี้จนขาดอายุความ  

8. เจ้าของโรงแรมต้องรับผิดฐานละเมิดเมื่อผู้เข้าพักจมน้ำเสียชีวิตในสระว่ายน้ำของโรงแรม  

9. การเปลี่ยนบทลงโทษจากความผิดฐานยักยอกเป็นลักทรัพย์ และการวินิจฉัยเมื่อข้อเท็จจริงแตกต่างในรายละเอียดไม่ใช่สาระสำคัญ

********************************

คำพิพากษาฎีกา ชุดที่ 02

1. ผู้ถือหุ้นมีสิทธิฟ้องกรรมการบริษัท เมื่อมีหลักฐานจากทะเบียนผู้ถือหุ้นรับรอง

2. อายุความในคดีหมิ่นประมาท และข้อจำกัดสิทธิอุทธรณ์ในศาลแขวง

3. ผลของการถอนคำร้องทุกข์ภายหลังคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว  

4. อำนาจฟ้องของโจทก์ในคดีแพ่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนเสมอไป  

5. หลอกลวงโดยระบบโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ถือเป็นความผิดฉ้อโกงประชาชน  

6. แกล้งจ่ายค่าสินค้าราคาถูกแทนสินค้าแพง ไม่ใช่ฉ้อโกง แต่เป็นลักทรัพย์

7. การตายพร้อมกัน ไม่ก่อให้เกิดสิทธิรับมรดกแทนที่ และเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน

8. จำเลยหลีกเลี่ยงไม่รับหมายเรียก ศาลส่งโดยประกาศหนังสือพิมพ์ชอบด้วยกฎหมาย 

9. คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนใช้ยันในศาลได้ แม้ไม่มีพยานหักล้าง – ไม่ผิดฐานข่มขืนศพ

10. ขยายเวลาอุทธรณ์แล้ว ต้องยื่นภายในวันที่ครบกำหนดใหม่ มิอาจอ้างวันหยุดตามมาตรา 193/8 ได้

11. ผู้ประกอบการสามารถพิสูจน์ได้ว่าสินค้าปลอดภัย จึงไม่มีความรับผิด – ข้าวสารบรรจุถุงมีเชื้อรา ไม่ใช่ความรับผิดของผู้ผลิต

****************************************

คำพิพากษาฎีกา ชุดที่ 03

1. ข้อสัญญาจ้างทนายความที่ให้ส่วนแบ่งจากทรัพย์สินคดี ถือเป็นโมฆะเพราะขัดจริยธรรมและศีลธรรมอันดี

2. การร้องเรียนเจ้านายโดยสุจริต ย่อมไม่เป็นหมิ่นประมาทหรือแจ้งความเท็จ

3. ครูสั่งนักเรียนวิ่งกลางแดดจนเสียชีวิต เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ หน่วยงานรัฐต้องรับผิด 

4. สิทธิร้องทุกข์ของผู้เช่าซื้อกรณีถูกหลอกให้ขายดาวน์รถยนต์ – ฉ้อโกงโดยผู้ซื้อดาวน์

5. ฐานะของประกาศหัวหน้าคณะปฏิวัติในทางกฎหมายตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ

6. พนักงานมหาวิทยาลัยไม่ใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมายอาญา แต่ย่อมรับผิดฐานยักยอกได้

7. สัญญาต่างตอบแทนที่มีเงื่อนไข หากทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งสัญญาสูญหายก่อนเงื่อนไขสำเร็จ คู่สัญญาไม่มีสิทธิเรียกร้อง 

8. การฟ้องเรียกค่าสินไหมจากอุบัติเหตุทางยานพาหนะ ต้องระบุฐานความรับผิดให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นห้ามอุทธรณ์

9. ผู้เช่าที่ดินมีสิทธิฟ้องขจัดการรบกวนแม้ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน

10. การจัดเก็บภาษีป้ายจากสถานีบริการน้ำมันและสิทธิในการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่  

**************************************

  คำพิพากษาฎีกา ชุดที่ 04

1. การใช้ดุลพินิจศาลอุทธรณ์ไม่ริบรถยนต์บรรทุกของกลางในคดีบรรทุกน้ำหนักเกิน

2. ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันและสิทธิที่อาจถูกจำกัดตามสัญญา

3. ไม่มีความผิดฐานประมาท เมื่อรถของผู้เสียหายเสียหลักตัดหน้ากระชั้นชิด

4. การยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะโดยสมบูรณ์ ไม่ต้องจดทะเบียนแม้มีภาระจำนอง และไม่ผูกพันข้อเท็จจริงตามคดีอาญา

5. ขับรถเปลี่ยนช่องทางกะทันหัน แม้ไม่ชน แต่ถือว่าประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย

6. การเพิ่มเติมฟ้องในคดียาเสพติด – การใช้สายลับล่อซื้อไม่ถือเป็นการล่อให้กระทำความผิด

7. เจ้าของรวมใช้สิทธิต่อบุคคลภายนอกโดยไม่ขัดสิทธิของเจ้าของรวมอื่น และการร้องสอดของเจ้าของรวม

8. คำสั่งเลิกจ้างย้อนหลังโดยอ้างพฤติการณ์ทุจริต ขัดคำสั่งพักงานและคำพิพากษาศาลอาญา

9. กรณีผู้รับประโยชน์ในประกันชีวิตถึงแก่ความตายก่อนผู้เอาประกันภัย เงินประกันตกแก่ใคร

10. ผู้ถือหุ้นมีสิทธิฟ้องกรรมการบริษัทฐานยักยอก เมื่อกรรมการร่วมกับบุคคลภายนอกทำความผิดต่อนิติบุคคล

**************************************

ฎีกา 05

1.การตีความสถานะของรถไถนาแบบเดินตามมีกระบะพ่วงว่าเป็นรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์

2.การแย่งใช้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์มือถือโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์

3.กรรมการบริษัทต้องใช้ความเอื้อเฟื้อสอดส่องในการบริหาร มิฉะนั้นต้องรับผิดทางละเมิด

4.การวินิจฉัยความผิดเมื่อกระสุนปืนลั่นโดยประมาทจนผู้อื่นตายและบาดเจ็บ

5.การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยปริยายและผลทางกฎหมายกรณีคืนรถยนต์เช่าซื้อ

6.การเลิกสัญญาจ้างว่าความก่อนคดีถึงที่สุด และผลทางกฎหมายต่อค่าจ้างทนาย

7.ความรับผิดของเจ้าของร่วมในสินสมรสกรณีสุนัขกัดผู้อื่น

8.การกำหนดดอกเบี้ยเป็นรายเดือนในตั๋วสัญญาใช้เงินไม่มีผลผูกพันผู้รับอาวัล

9.การรบกวนการครอบครองโดยปกติสุขแม้เจ้าของทรัพย์จะเป็นผู้กระทำ

10.เขตอำนาจศาลในคดีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

************************************

ฎีกา 06

1.เขตอำนาจศาลในคดีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

2.ฉ้อโกงโดยแสดงท่าทีข่มขู่กรณีใช้วัตถุคล้ายลูกระเบิดแทนเงินค่าน้ำมัน

3.ขู่เข็ญด้วยอาวุธปืนบนทางสาธารณะ เป็นละเมิด แม้ไม่ยิงปืนก็ตาม

4.การรบกวนการครอบครองโดยปกติสุขแม้เจ้าของทรัพย์จะเป็นผู้กระทำ

5. การลักสัญญาณโทรศัพท์จากตู้โทรศัพท์สาธารณะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์

6.ข้อยกเว้นในการฟ้องคดีภาษีอากรภายหลังอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์

7.การคิดเบี้ยปรับตามสัญญาให้บริการและการสะดุดหยุดลงของอายุความ

8.การฟ้องเรียกคืนเงินจากลาภมิควรได้และประเด็นอายุความในกรณีหลงผิด

9.การอายัดเงินปันผลและเงินอื่นของสมาชิกสหกรณ์

10.หนังสือมอบอำนาจที่ไม่ขีดฆ่าอากรแสตมป์ ใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้

**************************************

คำพิพากษาฎีกา ชุดที่ 01

หัวข้อเรื่อง

1. อายุความในคดีหมิ่นประมาท และข้อจำกัดสิทธิอุทธรณ์ในศาลแขวง  

2. ผู้ถือหุ้นมีสิทธิฟ้องกรรมการบริษัท เมื่อมีหลักฐานจากทะเบียนผู้ถือหุ้นรับรอง

3. ผลของการถอนคำร้องทุกข์ภายหลังคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว 

4. การปลดหนี้โดยข้อความทางเฟซบุ๊กถือเป็นหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ยกเลิกหนี้ได้

5. ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงมีสิทธิได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์เทียบเท่าลูกจ้างประจำ หากทำงานลักษณะเดียวกัน  

6. ดอกเบี้ยที่คิดล่วงหน้าเกินกฎหมายตกเป็นโมฆะ แต่หนี้เงินต้นยังคงสมบูรณ์

7. ตัวแทนกระทำเกินอำนาจ – การให้สัตยาบันโดยตัวการไม่ตัดสิทธิเรียกร้องความเสียหาย และผลของการละเลยเรียกหนี้จนขาดอายุความ  

8. เจ้าของโรงแรมต้องรับผิดฐานละเมิดเมื่อผู้เข้าพักจมน้ำเสียชีวิตในสระว่ายน้ำของโรงแรม  

9. การเปลี่ยนบทลงโทษจากความผิดฐานยักยอกเป็นลักทรัพย์ และการวินิจฉัยเมื่อข้อเท็จจริงแตกต่างในรายละเอียดไม่ใช่สาระสำคัญ

********************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายอาญา – ว่าด้วยเรื่อง อายุความร้องทุกข์ในคดีอาญา กรณีความผิดอันยอมความได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 (หมิ่นประมาท) และกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง

2. หัวข้อเรื่อง

“อายุความในคดีหมิ่นประมาท และข้อจำกัดสิทธิอุทธรณ์ในศาลแขวง”

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 4099/2529

ข้อเท็จจริง

โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาท (มาตรา 326) ซึ่งเป็น ความผิดอันยอมความได้

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2526 แต่ร้องทุกข์เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2527 ซึ่งเลยกำหนด 3 เดือนตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 96 ประมวลกฎหมายอาญา ศาลชั้นต้นจึง ยกฟ้องโดยถือว่าคดีขาดอายุความ

โจทก์อุทธรณ์ว่า ผู้เสียหายเพิ่งจะรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด จึงไม่ขาดอายุความ

ข้อกฎหมาย

ปัญหาว่า “คดีขาดอายุความหรือไม่” แบ่งออกเป็น 2 ประเภท:

 • หากยังโต้แย้งกันว่า ผู้เสียหายรู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำผิดเมื่อใด = ปัญหาข้อเท็จจริง

 • หากได้ข้อเท็จจริงชัดเจนแล้ว แต่โต้แย้งว่าอายุความเริ่มนับจากเมื่อใด = ปัญหาข้อกฎหมาย

ในคดีนี้ ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยและยุติว่า ผู้เสียหายรู้เรื่องตั้งแต่ 20 ธันวาคม 2526 จึงถือว่าข้อเท็จจริงนี้ ยุติไปแล้ว

การที่โจทก์อุทธรณ์มาโดยอ้างว่า เพิ่งรู้เรื่องความผิดและผู้กระทำผิด จึงเป็นการ โต้แย้งข้อเท็จจริง ซึ่ง ต้องห้ามอุทธรณ์ ตาม

 • พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499 มาตรา 22

 • ประกอบ พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3

ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่า

 • ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไปนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 • ข้อเท็จจริงในเรื่องอายุความ ถือว่ายุติแล้ว

 • โจทก์ ไม่มีสิทธิฎีกา

ดุลพินิจของศาล

ศาลฎีกาใช้หลักการแบ่งแยกระหว่าง “ปัญหาข้อเท็จจริง” และ “ปัญหาข้อกฎหมาย” อย่างชัดเจน

โดยถือว่า เมื่อศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยเรื่องที่ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดแล้วและเป็นข้อเท็จจริง คำวินิจฉัยนั้น ถือเป็นที่สุด โจทก์ไม่อาจอุทธรณ์หรือฎีกาในประเด็นดังกล่าวอีก

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ เช่น คดีอาญาอันยอมความได้ การยื่นร้องทุกข์ล่าช้า หรือปัญหาอายุความ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ โทร. 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์

🌐 www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

********************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายบริษัทจำกัด, พยานหลักฐานเกี่ยวกับการถือหุ้น, และความผิดตาม พ.ร.บ. กำหนดความผิดเกี่ยวกับบริษัทฯ พ.ศ. 2499

2. หัวข้อ

ผู้ถือหุ้นมีสิทธิฟ้องกรรมการบริษัท เมื่อมีหลักฐานจากทะเบียนผู้ถือหุ้นรับรอง

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา

คำพิพากษาฎีกาที่ 9709/2544

➤ ข้อเท็จจริง

 • โจทก์อ้างว่าเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัด และได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยซึ่งเป็นกรรมการบริษัทไม่แสดงรายการเงินลงทุน 15 ล้านบาทในงบดุล

 • เอกสารหลักฐาน ได้แก่ สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น และสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ที่จำเลยในฐานะกรรมการผู้จัดการลงชื่อรับรองว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับสมุดทะเบียน

➤ ข้อกฎหมาย

 • ป.พ.พ. มาตรา 1141: สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นพยานหลักฐานอันถูกต้อง

 • พ.ร.บ. กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนฯ พ.ศ. 2499 มาตรา 42 (2): กำหนดให้ผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องในกรณีกรรมการไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ เช่น ไม่แสดงรายการสำคัญในงบดุล

➤ ดุลพินิจของศาล

 • เมื่อจำเลยลงชื่อรับรองในบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท และไม่สามารถนำสืบหักล้างได้

➤ ถือว่าโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นจริง

 • การที่จำเลยได้รับเงินลงทุนตามสัญญาเป็น 2 งวด แต่เป็นผลจากเจตนาที่มีต่อยอดรวม 15 ล้านบาท จึงเป็นการกระทำ “กรรมเดียว”

 • การไม่ลงรายการเงินลงทุนในงบดุลของวันที่ 31 ธันวาคม 2535 เป็นการไม่แสดงรายการตามที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย

✅ สรุป

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจริงตามทะเบียนผู้ถือหุ้น จึงมีสถานะเป็นผู้เสียหายและมีสิทธิฟ้องจำเลย ซึ่งเป็นกรรมการบริษัท ในความผิดตามมาตรา 42 (2) ของ พ.ร.บ.บริษัทฯ จากการไม่แสดงรายการเงินลงทุนในงบดุล ซึ่งถือเป็นการกระทำกรรมเดียว แม้จะได้รับเงินแบ่งเป็นงวดก็ตาม

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้

ติดต่อ ทนายภูวงษ์ โทร. 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่

🔎 www.สู้คดี.com

🔎 www.ทนายภูวงษ์.com

***************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา – การถอนคำร้องทุกข์ในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว

2. หัวข้อเรื่อง

ผลของการถอนคำร้องทุกข์ภายหลังคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 1201/2529

✅ ข้อเท็จจริง

คดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว ซึ่งกฎหมายให้อำนาจผู้เสียหายสามารถถอนคำร้องทุกข์ได้ ต่อมาหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว แต่ยังอยู่ภายในระยะเวลาอุทธรณ์ และไม่มีคู่ความฝ่ายใดยื่นอุทธรณ์ ผู้เสียหายได้ยื่นขอถอนคำร้องทุกข์ในระยะเวลาดังกล่าว

✅ ข้อกฎหมาย

 • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2)

ระบุว่า คดีอาญาระงับเมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ก่อนคดีถึงที่สุด

 • การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว แต่ยังไม่พ้นกำหนดอุทธรณ์ ถือว่ายังไม่ถึงที่สุด

 • เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ก่อนคดีถึงที่สุด คดีถือว่าระงับไปโดยผลของกฎหมาย

✅ ดุลพินิจของศาล

ศาลชั้นต้นมีอำนาจพิจารณาคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ได้ แม้จะมีคำพิพากษาแล้วก็ตาม แต่ตราบใดที่คดียังไม่ถึงที่สุดตามกฎหมาย ศาลอนุญาตให้ถอนคำร้องทุกข์ได้โดยไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือเพิกถอนคำพิพากษาเดิม

ศาลวินิจฉัยว่า การถอนคำร้องทุกข์ก่อนที่คดีจะถึงที่สุด ย่อมทำให้สิทธิในการดำเนินคดีอาญาสิ้นสุดลง คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงระงับไปในตัวโดยผลของกฎหมาย ไม่ต้องมีการอุทธรณ์หรือฎีกาใด ๆ เพิ่มเติม

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์

🌐 www.สู้คดี.com

🌐 www.ทนายภูวงษ์.com

***************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงิน การปลดหนี้ และธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์

เกี่ยวข้องกับ:

 • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 340 ว่าด้วยการปลดหนี้

 • พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2544 มาตรา 7 ถึง มาตรา 9

2. หัวข้อเรื่อง

การปลดหนี้โดยข้อความทางเฟซบุ๊กถือเป็นหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ยกเลิกหนี้ได้

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา

ข้อเท็จจริง

 • จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์เป็นจำนวน 595,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อเดือน

 • จำเลยชำระดอกเบี้ยบางส่วน รวม 4 ครั้ง เป็นเงิน 6,550 บาท แต่ไม่ชำระเงินต้น

 • โจทก์ส่งข้อความถึงจำเลยทาง Facebook ว่า “เงินทั้งหมด 670,000 บาท ไม่ต้องส่งคืน ยกให้หมด ไม่ต้องส่งดอกอะไรมาให้ จะได้ไม่ต้องมีภาระหนี้สินติดตัว”

 • โจทก์ยอมรับว่าเป็นผู้ส่งข้อความดังกล่าวจริง

ข้อกฎหมาย

 • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 340: การปลดหนี้ต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ

 • พ.ร.บ.ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มาตรา 7-9: การแสดงเจตนาในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถือว่าเป็นหลักฐานเป็นหนังสือได้หากพิสูจน์ได้ว่าผู้ส่งเป็นใคร

ดุลพินิจของศาล

 • ข้อความที่ส่งผ่าน Facebook มีชื่อผู้ส่งชัดเจน และโจทก์ยอมรับว่าเป็นผู้ส่งจริง

 • ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาปลดหนี้โดยมี “หลักฐานเป็นหนังสือ” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 340

 • หนี้ที่จำเลยกู้ยืมจึงถือว่าระงับไปแล้ว

 • โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้อีก

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ โทร. 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

***********************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

คดีแรงงาน – สิทธิของลูกจ้างรับเหมาค่าแรงตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 11/1 วรรคสอง

2. หัวข้อเรื่อง

ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงมีสิทธิได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์เทียบเท่าลูกจ้างประจำ หากทำงานลักษณะเดียวกัน

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา 1987/2558

▌ข้อเท็จจริง

โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 12, ที่ 14 ถึงที่ 35 และที่ 37 ถึงที่ 42 เป็น ลูกจ้างรับเหมาค่าแรง ที่ทำงานในหน้าที่พนักงานขับรถและพนักงานคลังสินค้า ซึ่งเป็นลักษณะงานเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ 1 (ผู้ประกอบกิจการ) โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างโดยตรงที่ได้รับมอบหมายให้จัดหาคนงานจากจำเลยที่ 1

▌ข้อกฎหมาย

 • มาตรา 11/1 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ บัญญัติให้ ผู้ประกอบกิจการ ต้องดำเนินการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงได้รับ สิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ หากลูกจ้างทำงานเหมือนลูกจ้างโดยตรง

 • การกำหนด วันเวลาทำงาน และ เงินค่าตอบแทน เป็นสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายที่ผู้ประกอบกิจการเลือกปฏิบัติไม่ได้

▌ดุลพินิจของศาล

 • ศาลวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 มีหน้าที่โดยตรงตามกฎหมายที่จะต้องจัดให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรง (โจทก์) ได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการ เช่นเดียวกันกับลูกจ้างโดยตรง หากมีลักษณะการทำงานเหมือนกัน

 • การกำหนดเวลาทำงานที่มีผลต่อค่าตอบแทน เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ที่ต้องปฏิบัติให้เหมือนกัน

 • กรณี เงินโบนัส ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 จ่ายตามระบบประเมินผลงานและผลประกอบการ ซึ่งเป็น หลักเกณฑ์ที่เหมือนกัน ศาลเห็นว่ามิใช่การเลือกปฏิบัติ เพราะบางปีลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ยังได้รับมากกว่าลูกจ้างโดยตรงของจำเลยที่ 1

 • ดังนั้น เฉพาะจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ประกอบกิจการ จึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการตามมาตรา 11/1 วรรคสอง ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเพียงนายจ้างโดยตรงที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 ไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย

📌 สรุป

ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงที่ทำงานในลักษณะเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรง ย่อมมีสิทธิได้รับสวัสดิการและค่าตอบแทนที่เป็นธรรมจากผู้ประกอบกิจการ โดยไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งนี้ ศาลวินิจฉัยว่าหน้าที่นี้เป็นของผู้ประกอบกิจการโดยตรง ไม่ใช่นายจ้างตามสัญญารับเหมาค่าแรง

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ โทร. 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

คดีนี้เกี่ยวข้องกับ กฎหมายว่าด้วยอัตราดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืมเงิน โดยเฉพาะ พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 และ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ยโดยชอบด้วยกฎหมายในกรณีสัญญากู้ยืม

2. หัวข้อเรื่อง

“ดอกเบี้ยที่คิดล่วงหน้าเกินกฎหมายตกเป็นโมฆะ แต่หนี้เงินต้นยังคงสมบูรณ์”

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา

➤ ข้อเท็จจริง

มีการทำ สัญญากู้ยืมเงิน ที่ในเนื้อหาของสัญญาระบุ จำนวนเงินต้น ซึ่งได้รวมดอกเบี้ยล่วงหน้าเอาไว้แล้ว และดอกเบี้ยดังกล่าว เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ ตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475

➤ ข้อกฎหมาย

 • พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 กำหนดไว้ว่า การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปีถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ดอกเบี้ยส่วนนั้นจะตกเป็นโมฆะ

 • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ว่าด้วยการทำสัญญากู้และผลของการตกลงเรื่องดอกเบี้ย

➤ ดุลพินิจของศาล

ศาลฎีกา วินิจฉัยว่า

 • การที่ผู้ให้กู้คิดดอกเบี้ยล่วงหน้าและรวมไว้ในเงินต้น และอัตราดอกเบี้ยนั้นเกินกว่ากฎหมายกำหนด ถือว่า ขัดต่อกฎหมาย เป็นโมฆะเฉพาะในส่วนดอกเบี้ยเท่านั้น

 • ส่วนของหนี้เงินต้นที่แท้จริง และข้อตกลงในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.25 ต่อเดือน (หรือร้อยละ 15 ต่อปี) ซึ่งไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ยังคง สมบูรณ์และบังคับได้ตามกฎหมาย

 • ศาลยังวินิจฉัยด้วยว่า ข้อกฎหมายเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยเกินกำหนดเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน กล่าวคือ เป็นเรื่องที่ศาลต้องพิจารณาเอง แม้ไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งก็ต้องหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัย

📌 สรุป

หากในสัญญากู้ระบุยอดเงินต้นที่รวมดอกเบี้ยล่วงหน้าเกินกว่ากฎหมายจะอนุญาต ดอกเบี้ยนั้น ตกเป็นโมฆะ แต่ยอดหนี้เงินต้นที่แท้จริงและข้อตกลงที่ไม่ขัดกฎหมาย ยังมีผลผูกพันอยู่ ผู้ให้กู้ยังสามารถเรียกร้องหนี้ได้เฉพาะในส่วนที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับ “ตัวแทน” และ “ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน”

อ้างอิงบทบัญญัติตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 812, 823

2. หัวข้อเรื่อง

ตัวแทนกระทำเกินอำนาจ – การให้สัตยาบันโดยตัวการไม่ตัดสิทธิเรียกร้องความเสียหาย และผลของการละเลยเรียกหนี้จนขาดอายุความ

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา 1585/2529

✅ ข้อเท็จจริง

 • จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการสาขาธนาคารของโจทก์

 • บริษัท บ. เป็นลูกค้าและได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีโดยมี ส. เป็นผู้ค้ำประกันไว้ก่อน

 • ต่อมา จำเลยที่ 1 อนุญาตให้บริษัท บ. เบิกเงินเกินบัญชี เกินวงเงินที่กำหนดไว้ในสัญญา ซึ่งเป็น การกระทำเกินขอบอำนาจของผู้จัดการสาขา

 • บริษัท บ. ถึงแก่ความตาย

 • โจทก์ทราบเรื่องแต่ ไม่ได้ดำเนินการเรียกหนี้จากกองมรดก หรือจากผู้ค้ำประกัน (ส.) จนคดีขาดอายุความ

 • โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 (ผู้ค้ำประกันใหม่) เพื่อเรียกค่าเสียหาย

✅ ข้อกฎหมาย

 • มาตรา 812: ตัวแทนต้องรับผิดต่อตัวการ หากกระทำเกินอำนาจจนเกิดความเสียหาย

 • มาตรา 823: หากตัวการให้สัตยาบันต่อการกระทำของตัวแทนที่เกินอำนาจ ย่อมมีผลให้ผูกพันตัวการโดยตรงและทำให้ตัวแทนไม่ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก

⚖️ ดุลพินิจของศาล

ศาลเห็นว่า:

 • แม้จำเลยที่ 1 จะกระทำเกินขอบอำนาจ แต่เมื่อโจทก์ (ตัวการ) ให้สัตยาบันโดยไม่คัดค้าน และมีสิทธิที่จะดำเนินการฟ้องร้องเอาเงินคืนจากกองมรดกของบริษัท บ. หรือผู้ค้ำประกันคนเดิม แต่กลับ ละเลยและปล่อยให้สิทธิขาดอายุความ

 • การกระทำดังกล่าวถือว่า โจทก์มีส่วนทำให้เกิดความเสียหายด้วยตนเอง

 • จึง ไม่อาจเรียกร้องเอาความรับผิดจากจำเลยที่ 1 และ 2 ได้อีก

 • จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวแทน ไม่ต้องรับผิด เนื่องจาก ตัวการละเลยไม่ป้องกันความเสียหายเอง

 • จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกัน ไม่ต้องรับผิด เพราะหนี้ขาดอายุความไปแล้วและเกิดจากการละเลยของเจ้าหนี้เอง

📌 สรุป

คำพิพากษานี้ชี้ชัดว่า:

 • การให้สัตยาบันของตัวการต่อการกระทำเกินอำนาจของตัวแทน แม้จะทำให้ตัวแทนพ้นจากความรับผิดต่อบุคคลภายนอก

 • แต่ไม่ทำให้ตัวแทนพ้นจากความรับผิดต่อตัวการ หากความเสียหายเกิดจากการกระทำนั้น

 • อย่างไรก็ตาม หากตัวการ ละเลยไม่ดำเนินการบำบัดความเสียหาย เช่น ปล่อยให้สิทธิเรียกร้องขาดอายุความ

 • ตัวแทนและผู้ค้ำประกันย่อมไม่ต้องรับผิด

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้

ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*********************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

คดีนี้เกี่ยวข้องกับ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการละเมิด (มาตรา 420) ซึ่งเป็นการเรียกร้อง ค่าสินไหมทดแทน จากการกระทำหรือละเลยโดยประมาทที่เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต รวมถึงการพิจารณาหน้าที่ในการป้องกันอันตรายของผู้ประกอบการ (เจ้าของโรงแรม)

2. หัวข้อเรื่อง

เจ้าของโรงแรมต้องรับผิดฐานละเมิดเมื่อผู้เข้าพักจมน้ำเสียชีวิตในสระว่ายน้ำของโรงแรม

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา

✅ ข้อเท็จจริง

 • โจทก์พร้อมครอบครัวเข้าพักในโรงแรมจำเลยซึ่งมีสระว่ายน้ำลึกสูงสุด 2.55 เมตร

 • ผู้ตายว่ายน้ำอยู่กลางสระ แล้วจมน้ำ

 • ไม่มีเจ้าหน้าที่หรืออุปกรณ์ช่วยชีวิตในบริเวณสระ

 • การช่วยเหลือของญาติไม่สามารถช่วยชีวิตผู้ตายไว้ได้

 • โจทก์ยื่นฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าของโรงแรม

✅ ข้อกฎหมาย

 • แม้จะไม่มีระเบียบหรือข้อบังคับของหน่วยงานปกครองท้องถิ่นที่กำหนดให้โรงแรมต้องมีมาตรการด้านความปลอดภัยในสระว่ายน้ำ

 • แต่การที่จำเลยเปิดให้บริการสระว่ายน้ำที่มีความเสี่ยงสูง ต้องถือว่ามีหน้าที่ตามกฎหมายแพ่งในการป้องกันอันตราย มิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใช้บริการ

 • จำเลยมีหน้าที่ต้องจัดเตรียมบุคลากร อุปกรณ์ช่วยชีวิต และป้ายแสดงความลึก เป็นต้น

✅ ดุลพินิจของศาลและเหตุผล

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

 • สระว่ายน้ำของโรงแรมมีลักษณะอันตรายโดยเฉพาะส่วนที่ลึกมากและมีรูปทรงเป็นกรวย ทำให้การช่วยเหลือทำได้ยาก

 • การที่ไม่มีเจ้าหน้าที่หรืออุปกรณ์ช่วยชีวิต แสดงให้เห็นว่าจำเลยละเลยต่อหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัย

 • โจทก์และครอบครัวต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักโดยที่เหตุอันตรายนั้นสามารถป้องกันได้

 • แม้ไม่มีข้อบังคับของ อบต. หรือเทศบาล แต่หน้าที่ในการป้องกันความเสียหายต่อบุคคลอื่นนั้นมีอยู่ตามหลักทั่วไปของกฎหมายละเมิด

สรุป ศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานละเมิด ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากการจมน้ำเสียชีวิตของผู้ตาย

📌 บทเรียนจากคดีนี้

 • เจ้าของธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเสี่ยงต่อชีวิต เช่น สระว่ายน้ำ ต้องเตรียมความพร้อมทั้งอุปกรณ์และบุคลากร แม้กฎหมายเฉพาะจะไม่มีการกำหนดไว้

 • ความเสียหายที่เกิดจากการละเลยสามารถนำไปสู่การฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ แม้ไม่มีบทบัญญัติหรือข้อบังคับเฉพาะรองรับ

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้

ติดต่อ ทนายภูวงษ์ โทร. 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่

🌐 www.สู้คดี.com

🌐 www.ทนายภูวงษ์.com

*************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายอาญา – ความผิดฐานลักทรัพย์ และการปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงที่ได้ความจากการพิจารณา

กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา – อำนาจศาลในการวินิจฉัยข้อหาที่แตกต่างจากฟ้องในรายละเอียด

2. หัวข้อเรื่อง

การเปลี่ยนบทลงโทษจากความผิดฐานยักยอกเป็นลักทรัพย์ และการวินิจฉัยเมื่อข้อเท็จจริงแตกต่างในรายละเอียดไม่ใช่สาระสำคัญ

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 4096/2557

✅ ข้อเท็จจริง

 • ฮ. เป็นบุคคลสัญชาติเนเธอร์แลนด์ และเป็นสามีภริยากับโจทก์ร่วมตามกฎหมายเนเธอร์แลนด์

 • ฮ. ซื้อห้องชุดแต่ให้ จำเลย ถือกรรมสิทธิ์แทน (นิติกรรมอำพรางในทางแพ่ง) โดยจำเลยทำหน้าที่แทนเจ้าของเพียงชั่วคราว เช่น ถือกุญแจ จ่ายค่าน้ำค่าไฟ

 • ต่อมา จำเลยแจ้งความเท็จว่าเอกสารกรรมสิทธิ์หาย เพื่อขอหนังสือใหม่ แล้ว เปลี่ยนกุญแจ เข้าครอบครอง และนำไปขายต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่แท้จริง (ฮ. และโจทก์ร่วม)

✅ ข้อกฎหมาย

 • เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐาน ยักยอก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352

 • แต่ข้อเท็จจริงที่ได้จากการพิจารณาแสดงให้เห็นว่า จำเลยมิได้ครอบครองโดยสุจริตหรือโดยได้รับมอบจากเจ้าของโดยสมบูรณ์ การเข้าไปครอบครองด้วยอุบายเพื่อยึดกรรมสิทธิ์โดยเจ้าของที่แท้จริงไม่ยินยอม จึงเข้าข่าย ลักทรัพย์ ตามมาตรา 334

⚖ อ้างอิงบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง:

 • ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง-สาม

→ ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษตามข้อเท็จจริง แม้ต่างจากฟ้องในรายละเอียด หากจำเลยไม่หลงต่อสู้

 • ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบ มาตรา 225

→ ศาลฎีกาปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้ แม้ไม่มีฎีกา โดยไม่เพิ่มโทษให้หนักขึ้น

✅ ดุลพินิจของศาล

 • ศาลวินิจฉัยว่า แม้ข้อหาในฟ้องคือ ยักยอก แต่จากพฤติการณ์ที่จำเลยเข้าไปครอบครองด้วยการแจ้งความเท็จและเจตนายึดทรัพย์ไปขาย เข้าข่ายลักทรัพย์

 • การเปลี่ยนบทลงโทษจากยักยอกเป็นลักทรัพย์ ไม่ใช่การเปลี่ยนข้อหาหลัก แต่เป็น ความแตกต่างในรายละเอียดของพฤติการณ์ในคดี

 • เมื่อจำเลยไม่ได้หลงต่อสู้ และไม่ได้เสียสิทธิในการต่อสู้คดี ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 และ 212 โดยไม่จำเป็นต้องมีฎีกาจากโจทก์หรือโจทก์ร่วม

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ เช่น มีการโอนกรรมสิทธิ์โดยมิชอบ หรือคดีอาญาที่ต้องพิจารณาความแตกต่างของข้อหาทางกฎหมาย

ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่

🌐 www.สู้คดี.com

🌐 www.ทนายภูวงษ์.com

***************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายอาญา – ความผิดฐานลักทรัพย์ และการปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงที่ได้ความจากการพิจารณา

กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา – อำนาจศาลในการวินิจฉัยข้อหาที่แตกต่างจากฟ้องในรายละเอียด

2. หัวข้อเรื่อง

การเปลี่ยนบทลงโทษจากความผิดฐานยักยอกเป็นลักทรัพย์ และการวินิจฉัยเมื่อข้อเท็จจริงแตกต่างในรายละเอียดไม่ใช่สาระสำคัญ

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 4096/2557

✅ ข้อเท็จจริง

 • ฮ. เป็นบุคคลสัญชาติเนเธอร์แลนด์ และเป็นสามีภริยากับโจทก์ร่วมตามกฎหมายเนเธอร์แลนด์

 • ฮ. ซื้อห้องชุดแต่ให้ จำเลย ถือกรรมสิทธิ์แทน (นิติกรรมอำพรางในทางแพ่ง) โดยจำเลยทำหน้าที่แทนเจ้าของเพียงชั่วคราว เช่น ถือกุญแจ จ่ายค่าน้ำค่าไฟ

 • ต่อมา จำเลยแจ้งความเท็จว่าเอกสารกรรมสิทธิ์หาย เพื่อขอหนังสือใหม่ แล้ว เปลี่ยนกุญแจ เข้าครอบครอง และนำไปขายต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่แท้จริง (ฮ. และโจทก์ร่วม)

✅ ข้อกฎหมาย

 • เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐาน ยักยอก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352

 • แต่ข้อเท็จจริงที่ได้จากการพิจารณาแสดงให้เห็นว่า จำเลยมิได้ครอบครองโดยสุจริตหรือโดยได้รับมอบจากเจ้าของโดยสมบูรณ์ การเข้าไปครอบครองด้วยอุบายเพื่อยึดกรรมสิทธิ์โดยเจ้าของที่แท้จริงไม่ยินยอม จึงเข้าข่าย ลักทรัพย์ ตามมาตรา 334

⚖ อ้างอิงบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง:

 • ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง-สาม

→ ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษตามข้อเท็จจริง แม้ต่างจากฟ้องในรายละเอียด หากจำเลยไม่หลงต่อสู้

 • ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบ มาตรา 225

→ ศาลฎีกาปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้ แม้ไม่มีฎีกา โดยไม่เพิ่มโทษให้หนักขึ้น

✅ ดุลพินิจของศาล

 • ศาลวินิจฉัยว่า แม้ข้อหาในฟ้องคือ ยักยอก แต่จากพฤติการณ์ที่จำเลยเข้าไปครอบครองด้วยการแจ้งความเท็จและเจตนายึดทรัพย์ไปขาย เข้าข่ายลักทรัพย์

 • การเปลี่ยนบทลงโทษจากยักยอกเป็นลักทรัพย์ ไม่ใช่การเปลี่ยนข้อหาหลัก แต่เป็น ความแตกต่างในรายละเอียดของพฤติการณ์ในคดี

 • เมื่อจำเลยไม่ได้หลงต่อสู้ และไม่ได้เสียสิทธิในการต่อสู้คดี ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 และ 212 โดยไม่จำเป็นต้องมีฎีกาจากโจทก์หรือโจทก์ร่วม

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ เช่น มีการโอนกรรมสิทธิ์โดยมิชอบ หรือคดีอาญาที่ต้องพิจารณาความแตกต่างของข้อหาทางกฎหมาย

ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่

🌐 www.สู้คดี.com

🌐 www.ทนายภูวงษ์.com

***********************************


คำพิพากษาฎีกา ชุดที่ 02

หัวข้อเรื่อง

1. ผู้ถือหุ้นมีสิทธิฟ้องกรรมการบริษัท เมื่อมีหลักฐานจากทะเบียนผู้ถือหุ้นรับรอง

2. อายุความในคดีหมิ่นประมาท และข้อจำกัดสิทธิอุทธรณ์ในศาลแขวง

3. ผลของการถอนคำร้องทุกข์ภายหลังคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว  

4. อำนาจฟ้องของโจทก์ในคดีแพ่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนเสมอไป  

5. หลอกลวงโดยระบบโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ถือเป็นความผิดฉ้อโกงประชาชน  

6. แกล้งจ่ายค่าสินค้าราคาถูกแทนสินค้าแพง ไม่ใช่ฉ้อโกง แต่เป็นลักทรัพย์

7. การตายพร้อมกัน ไม่ก่อให้เกิดสิทธิรับมรดกแทนที่ และเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน

8. จำเลยหลีกเลี่ยงไม่รับหมายเรียก ศาลส่งโดยประกาศหนังสือพิมพ์ชอบด้วยกฎหมาย 

9. คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนใช้ยันในศาลได้ แม้ไม่มีพยานหักล้าง – ไม่ผิดฐานข่มขืนศพ

10. ขยายเวลาอุทธรณ์แล้ว ต้องยื่นภายในวันที่ครบกำหนดใหม่ มิอาจอ้างวันหยุดตามมาตรา 193/8 ได้

11. ผู้ประกอบการสามารถพิสูจน์ได้ว่าสินค้าปลอดภัย จึงไม่มีความรับผิด – ข้าวสารบรรจุถุงมีเชื้อรา ไม่ใช่ความรับผิดของผู้ผลิต

**************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายบริษัทจำกัด, พยานหลักฐานเกี่ยวกับการถือหุ้น, และความผิดตาม พ.ร.บ. กำหนดความผิดเกี่ยวกับบริษัทฯ พ.ศ. 2499

2. หัวข้อ

ผู้ถือหุ้นมีสิทธิฟ้องกรรมการบริษัท เมื่อมีหลักฐานจากทะเบียนผู้ถือหุ้นรับรอง

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา

คำพิพากษาฎีกาที่ 9709/2544

➤ ข้อเท็จจริง

 • โจทก์อ้างว่าเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัด และได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยซึ่งเป็นกรรมการบริษัทไม่แสดงรายการเงินลงทุน 15 ล้านบาทในงบดุล

 • เอกสารหลักฐาน ได้แก่ สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น และสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ที่จำเลยในฐานะกรรมการผู้จัดการลงชื่อรับรองว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับสมุดทะเบียน

➤ ข้อกฎหมาย

 • ป.พ.พ. มาตรา 1141: สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นพยานหลักฐานอันถูกต้อง

 • พ.ร.บ. กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนฯ พ.ศ. 2499 มาตรา 42 (2): กำหนดให้ผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องในกรณีกรรมการไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ เช่น ไม่แสดงรายการสำคัญในงบดุล

➤ ดุลพินิจของศาล

 • เมื่อจำเลยลงชื่อรับรองในบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท และไม่สามารถนำสืบหักล้างได้

➤ ถือว่าโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นจริง

 • การที่จำเลยได้รับเงินลงทุนตามสัญญาเป็น 2 งวด แต่เป็นผลจากเจตนาที่มีต่อยอดรวม 15 ล้านบาท จึงเป็นการกระทำ “กรรมเดียว”

 • การไม่ลงรายการเงินลงทุนในงบดุลของวันที่ 31 ธันวาคม 2535 เป็นการไม่แสดงรายการตามที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย

✅ สรุป

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจริงตามทะเบียนผู้ถือหุ้น จึงมีสถานะเป็นผู้เสียหายและมีสิทธิฟ้องจำเลย ซึ่งเป็นกรรมการบริษัท ในความผิดตามมาตรา 42 (2) ของ พ.ร.บ.บริษัทฯ จากการไม่แสดงรายการเงินลงทุนในงบดุล ซึ่งถือเป็นการกระทำกรรมเดียว แม้จะได้รับเงินแบ่งเป็นงวดก็ตาม

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้

ติดต่อ ทนายภูวงษ์ โทร. 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่

🔎 www.สู้คดี.com

🔎 www.ทนายภูวงษ์.com

*****************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายอาญา – ว่าด้วยเรื่อง อายุความร้องทุกข์ในคดีอาญา กรณีความผิดอันยอมความได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 (หมิ่นประมาท) และกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง

2. หัวข้อเรื่อง

“อายุความในคดีหมิ่นประมาท และข้อจำกัดสิทธิอุทธรณ์ในศาลแขวง”

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 4099/2529

ข้อเท็จจริง

โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาท (มาตรา 326) ซึ่งเป็น ความผิดอันยอมความได้

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2526 แต่ร้องทุกข์เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2527 ซึ่งเลยกำหนด 3 เดือนตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 96 ประมวลกฎหมายอาญา ศาลชั้นต้นจึง ยกฟ้องโดยถือว่าคดีขาดอายุความ

โจทก์อุทธรณ์ว่า ผู้เสียหายเพิ่งจะรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด จึงไม่ขาดอายุความ

ข้อกฎหมาย

ปัญหาว่า “คดีขาดอายุความหรือไม่” แบ่งออกเป็น 2 ประเภท:

 • หากยังโต้แย้งกันว่า ผู้เสียหายรู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำผิดเมื่อใด = ปัญหาข้อเท็จจริง

 • หากได้ข้อเท็จจริงชัดเจนแล้ว แต่โต้แย้งว่าอายุความเริ่มนับจากเมื่อใด = ปัญหาข้อกฎหมาย

ในคดีนี้ ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยและยุติว่า ผู้เสียหายรู้เรื่องตั้งแต่ 20 ธันวาคม 2526 จึงถือว่าข้อเท็จจริงนี้ ยุติไปแล้ว

การที่โจทก์อุทธรณ์มาโดยอ้างว่า เพิ่งรู้เรื่องความผิดและผู้กระทำผิด จึงเป็นการ โต้แย้งข้อเท็จจริง ซึ่ง ต้องห้ามอุทธรณ์ ตาม

 • พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499 มาตรา 22

 • ประกอบ พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3

ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่า

 • ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไปนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 • ข้อเท็จจริงในเรื่องอายุความ ถือว่ายุติแล้ว

 • โจทก์ ไม่มีสิทธิฎีกา

ดุลพินิจของศาล

ศาลฎีกาใช้หลักการแบ่งแยกระหว่าง “ปัญหาข้อเท็จจริง” และ “ปัญหาข้อกฎหมาย” อย่างชัดเจน

โดยถือว่า เมื่อศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยเรื่องที่ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดแล้วและเป็นข้อเท็จจริง คำวินิจฉัยนั้น ถือเป็นที่สุด โจทก์ไม่อาจอุทธรณ์หรือฎีกาในประเด็นดังกล่าวอีก

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ เช่น คดีอาญาอันยอมความได้ การยื่นร้องทุกข์ล่าช้า หรือปัญหาอายุความ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ โทร. 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์

🌐 www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา – การถอนคำร้องทุกข์ในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว

2. หัวข้อเรื่อง

ผลของการถอนคำร้องทุกข์ภายหลังคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 1201/2529

✅ ข้อเท็จจริง

คดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว ซึ่งกฎหมายให้อำนาจผู้เสียหายสามารถถอนคำร้องทุกข์ได้ ต่อมาหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว แต่ยังอยู่ภายในระยะเวลาอุทธรณ์ และไม่มีคู่ความฝ่ายใดยื่นอุทธรณ์ ผู้เสียหายได้ยื่นขอถอนคำร้องทุกข์ในระยะเวลาดังกล่าว

✅ ข้อกฎหมาย

 • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2)

ระบุว่า คดีอาญาระงับเมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ก่อนคดีถึงที่สุด

 • การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว แต่ยังไม่พ้นกำหนดอุทธรณ์ ถือว่ายังไม่ถึงที่สุด

 • เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ก่อนคดีถึงที่สุด คดีถือว่าระงับไปโดยผลของกฎหมาย

✅ ดุลพินิจของศาล

ศาลชั้นต้นมีอำนาจพิจารณาคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ได้ แม้จะมีคำพิพากษาแล้วก็ตาม แต่ตราบใดที่คดียังไม่ถึงที่สุดตามกฎหมาย ศาลอนุญาตให้ถอนคำร้องทุกข์ได้โดยไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือเพิกถอนคำพิพากษาเดิม

ศาลวินิจฉัยว่า การถอนคำร้องทุกข์ก่อนที่คดีจะถึงที่สุด ย่อมทำให้สิทธิในการดำเนินคดีอาญาสิ้นสุดลง คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงระงับไปในตัวโดยผลของกฎหมาย ไม่ต้องมีการอุทธรณ์หรือฎีกาใด ๆ เพิ่มเติม

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์

🌐 www.สู้คดี.com

🌐 www.ทนายภูวงษ์.com

****************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายว่าด้วยประเด็น “อำนาจฟ้อง” และลักษณะของปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนในคดีแพ่ง

2. หัวข้อเรื่อง

อำนาจฟ้องของโจทก์ในคดีแพ่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนเสมอไป

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา 2099/2552

ข้อเท็จจริง

ในคดีนี้ มีประเด็นว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์นำมาฟ้องนั้น แท้จริงแล้วเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท จ. หรือเป็นของโจทก์เอง หากโจทก์ซื้อแทนบริษัท จ. แต่ไม่ได้รับมอบอำนาจในการฟ้องคดี บริษัท จ. ย่อมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง และโจทก์ก็จะไม่มีอำนาจฟ้อง

จำเลยหยิบยกข้อนี้ขึ้นมาต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ โดยอ้างว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน หรือไม่ได้รับมอบอำนาจจากบริษัท จ.

ข้อกฎหมาย

ปัญหาอยู่ที่ว่า การที่จำเลยหยิบยกเรื่อง “อำนาจฟ้องของโจทก์” ในชั้นอุทธรณ์นั้น จะถือเป็นปัญหาที่สามารถยกขึ้นได้หรือไม่ หากไม่ใช่ “ปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน” ซึ่งตามหลักในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ศาลอุทธรณ์จะพิจารณาเฉพาะในประเด็นที่คู่ความได้ยกขึ้นโดยชอบเท่านั้น เว้นแต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลสามารถหยิบยกขึ้นพิจารณาได้เอง

ดุลพินิจของศาล

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

ไม่ใช่ทุกกรณีของปัญหาอำนาจฟ้องของโจทก์ในคดีแพ่งจะถือว่าเกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องพิจารณาเป็นรายกรณี

ในคดีนี้ ศาลเห็นว่า ประเด็นที่จำเลยยกขึ้นมานั้น มิใช่ประเด็นที่กระทบถึงความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพราะเป็นเพียงข้อพิพาททางแพ่งระหว่างคู่ความเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์และอำนาจการฟ้องคดีของโจทก์โดยเฉพาะ จึงไม่ใช่เรื่องที่ศาลอุทธรณ์จะหยิบยกขึ้นพิจารณาเองได้ หากคู่ความมิได้ยกขึ้นมาโดยชอบก่อน

สรุป

คำพิพากษานี้ยืนยันหลักว่า “อำนาจฟ้องของโจทก์ในคดีแพ่ง” ไม่ถือเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนในทุกกรณี หากเป็นเพียงข้อพิพาทระหว่างคู่ความ โดยไม่กระทบต่อผลประโยชน์สาธารณะหรือความสงบเรียบร้อยของรัฐ ศาลอุทธรณ์จะไม่สามารถหยิบยกขึ้นพิจารณาเองได้

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

**************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 – ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน

2. หัวข้อเรื่อง

หลอกลวงโดยระบบโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ถือเป็นความผิดฉ้อโกงประชาชน

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา 831/2559 (ย่อสั้น)

ข้อเท็จจริง

จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจัดตั้งระบบโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ในต่างประเทศ เพื่อสุ่มโทรศัพท์หรือส่งข้อความไปยังประชาชนในไทย โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือธนาคาร แล้วหลอกให้เหยื่อตกใจว่าเป็นหนี้หรือมีธุรกรรมผิดปกติ พร้อมแนะนำให้เหยื่อกดรหัสผ่าน บัญชี หรือข้อมูลสำคัญ อ้างว่าเพื่อป้องกันการถูกถอนเงิน

ข้อกฎหมาย

มาตรา 343 ถือเอาเจตนา “หลอกลวงต่อประชาชน” เป็นหลัก แม้ไม่มีการเจาะจงหลอกลวงบุคคลใดโดยเฉพาะ แต่การสุ่มไปยังกลุ่มบุคคลทั่วไปถือว่าเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน

ดุลพินิจของศาล

ศาลเห็นว่า

 • วิธีการหลอกลวงมีเจตนา ต่อประชาชนทั่วไป โดยไม่ระบุเฉพาะเจาะจงเหยื่อรายใด

 • ใช้ระบบเทคโนโลยีสุ่มข้อมูล จึงถือว่าเป็น การหลอกลวงแบบครอบคลุมประชาชน

⇒ เข้าข่ายความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตาม ป.อ. มาตรา 343

สรุป

การสุ่มโทรศัพท์หรือส่งข้อความหลอกลวงประชาชนจำนวนมากทางระบบอินเทอร์เน็ต โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือธนาคาร ถือเป็นการหลอกลวงต่อประชาชนทั่วไป ไม่ต้องเจาะจงบุคคลใด จึงเป็นความผิดฐาน ฉ้อโกงประชาชน ตามกฎหมายอาญา

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

**************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายอาญา ว่าด้วยความผิดฐานลักทรัพย์และความผิดฐานฉ้อโกง

2. หัวข้อเรื่อง

แกล้งจ่ายค่าสินค้าราคาถูกแทนสินค้าแพง ไม่ใช่ฉ้อโกง แต่เป็นลักทรัพย์

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา 3935/2553

ข้อเท็จจริง

จำเลยไปที่ร้านของผู้เสียหาย และนำสุราต่างประเทศ ซึ่งมีราคาสูงกว่า ไปซุกซ่อนไว้ในลังน้ำปลา แล้วนำไปให้พนักงานแคชเชียร์คิดเงินโดยชำระเงินในราคาน้ำปลาเท่านั้น

จำเลยจงใจใช้วิธีนี้เพื่อให้ได้สุราต่างประเทศไปในราคาต่ำกว่าความเป็นจริง โดยอาศัยความไม่รู้ของพนักงานแคชเชียร์ ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้เสียหาย

ข้อกฎหมาย

ประมวลกฎหมายอาญา แบ่งแยกความผิดระหว่าง:

 • มาตรา 334: ความผิดฐานลักทรัพย์ – การเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต โดยเจ้าของไม่ยินยอม

 • มาตรา 341: ความผิดฐานฉ้อโกง – การแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดความจริง โดยเจ้าของทรัพย์สมัครใจยินยอมโอนทรัพย์จากความหลงผิด

ดุลพินิจของศาล

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

 • พฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นว่ามี เจตนาทุจริตตั้งแต่ต้น ที่จะเอาทรัพย์ (สุราต่างประเทศ) ไปโดยไม่ชำระเงินตามความเป็นจริง

 • การใส่สุราไว้ในลังน้ำปลา แล้วนำไปชำระเงินเพียงราคาน้ำปลา เป็น กลอุบายเพื่ออำพรางการลักทรัพย์

 • พนักงานแคชเชียร์ไม่ได้มีเจตนาจะส่งมอบสุราให้จำเลย เพราะไม่รู้ว่าในลังมีสุราแอบซ่อนอยู่

⇒ ดังนั้น พนักงานไม่ได้ “สมัครใจโอนทรัพย์” จากความหลงผิด

⇒ ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง

คำวินิจฉัย:

การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐาน ลักทรัพย์ (มาตรา 334)

ไม่ใช่ความผิดฐาน ฉ้อโกง (มาตรา 341)

สรุป

การใช้กลอุบายหลอกพนักงานให้คิดค่าสินค้าราคาถูกแทนสินค้าราคาแพง โดยที่พนักงานไม่รู้ตัว ไม่ถือเป็นการฉ้อโกงเพราะไม่มีการยินยอมโดยหลงผิด แต่ถือว่า จำเลยลักทรัพย์โดยทุจริต เป็นความผิดตามมาตรา 334

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เรื่องการรับมรดกแทนที่ และสภาพบุคคลในการเป็นทายาท

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยอำนาจฟ้อง และความสงบเรียบร้อยของประชาชน

2. หัวข้อเรื่อง

การตายพร้อมกัน ไม่ก่อให้เกิดสิทธิรับมรดกแทนที่ และเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา 13129/2556 (ย่อสั้น)

ข้อเท็จจริง

 • ธ. เป็นบุตรของ ก.

 • ธ. และ ก. ถึงแก่ความตายในเวลาเดียวกัน

 • โจทก์เป็นบุตรของ ธ. ยื่นฟ้องเรียกมรดกจาก ก.

ข้อกฎหมาย

 • ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15: บุคคลผู้ตายไม่มีสภาพบุคคลอีกต่อไป

 • และ มาตรา 1604 วรรคหนึ่ง: ต้องมีชีวิตอยู่ในขณะเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย จึงจะเป็นทายาทได้

 • มาตรา 1639 กรณีรับมรดกแทนที่ ต้องมีเงื่อนไขว่าทายาทเดิมตาย “ก่อน” เจ้ามรดก

กรณีนี้ ธ. และ ก. ตาย “พร้อมกัน” จึงถือว่าไม่มีใครตายก่อนใคร → ไม่เข้าเงื่อนไขรับมรดกแทนที่

ดุลพินิจของศาล

 • ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ซึ่งเป็นหลานของ ก. ไม่มีสิทธิรับมรดกแทนที่ ธ. (บิดาของโจทก์)

 • โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์มรดกของ ก.

 • ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องนี้ เป็น ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน

⇒ ศาลฎีกาจึงสามารถหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ แม้คู่ความจะไม่ยกขึ้นมา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5), 246, 247

สรุป

เมื่อบิดาและปู่ตายพร้อมกัน หลานไม่มีสิทธิรับมรดกแทนที่บิดา เพราะไม่เข้าเงื่อนไขตามกฎหมายมรดก และศาลฎีกาสามารถหยิบปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยได้เอง เพราะเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง – การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง, การขอพิจารณาคดีใหม่ในกรณีจำเลยขาดนัด

2. หัวข้อเรื่อง:

“จำเลยหลีกเลี่ยงไม่รับหมายเรียก ศาลส่งโดยประกาศหนังสือพิมพ์ชอบด้วยกฎหมาย”

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 989/2531

ข้อเท็จจริง:

เจ้าหน้าที่ศาลไม่สามารถส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยได้ เนื่องจากบ้านของจำเลยถูกรื้อถอนไปแล้ว และไม่ปรากฏว่าจำเลยมีที่อยู่ใหม่แน่นอน โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลส่งโดยวิธีประกาศทางหนังสือพิมพ์แทน ซึ่งศาลอนุญาต

ต่อมา จำเลยทราบว่าตนถูกฟ้องคดี แต่ได้ย้ายออกจากภูมิลำเนาเดิมโดยไม่แจ้งย้ายทะเบียนบ้าน ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่สามารถติดต่อหรือส่งหมายถึงได้ จึงไม่ได้มาศาลในวันนัดพิจารณาและถูกพิพากษาโดยขาดนัด จำเลยจึงยื่นขอพิจารณาคดีใหม่โดยอ้างว่าไม่ได้รับหมาย

ข้อกฎหมาย:

 • ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคหนึ่ง: หากไม่สามารถส่งหมาย ณ ภูมิลำเนาของจำเลยได้โดยแท้จริง ศาลสามารถสั่งให้ส่งโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์ได้

 • ประเด็นเรื่องการขาดนัดโดย “จงใจ” หากจำเลยรู้อยู่แล้วว่ามีการส่งหมายและมีเจตนาไม่มาศาล การอ้างว่าไม่ได้รับหมายไม่สามารถใช้เป็นเหตุขอพิจารณาคดีใหม่ได้

ดุลพินิจของศาล:

ศาลเห็นว่า การส่งหมายโดยหนังสือพิมพ์ในคดีนี้ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่สามารถส่งโดยปกติได้ อีกทั้งจำเลยรู้อยู่แล้วว่ามีคดีแต่หลีกเลี่ยงการรับหมายและไม่แสดงภูมิลำเนาใหม่ จึงถือว่าทราบนัดแล้วแต่ “จงใจขาดนัด” ไม่อาจอ้างเหตุเพื่อขอพิจารณาคดีใหม่ได้

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ เช่น ไม่ได้รับหมายเรียก หรือถูกดำเนินคดีโดยที่ไม่ทราบเรื่อง ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

***********************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายอาญา – ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น, ข่มขืนกระทำชำเรา

กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา – คำรับสารภาพและพยานหลักฐาน

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ – สถานะของบุคคล

2. หัวข้อเรื่อง:

“คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนใช้ยันในศาลได้ แม้ไม่มีพยานหักล้าง – ไม่ผิดฐานข่มขืนศพ”

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 7144/2545

ข้อเท็จจริง:

จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนว่าเป็นผู้ฆ่าและข่มขืนกระทำชำเราผู้ตาย และยังได้นำเจ้าหน้าที่ไปชี้จุดเกิดเหตุ ประกอบคำรับสารภาพดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้บันทึกและถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนี้ ยังมีผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ที่พบว่าคราบเลือดบนกางเกงชั้นในของจำเลยตรงกับดีเอ็นเอของผู้ตาย

ในชั้นพิจารณาคดี จำเลยไม่ได้มีการนำพยานหลักฐานใดมาหักล้างพยานของฝ่ายโจทก์

ข้อกฎหมาย:

 • ป.วิ.อาญา มาตรา 134: คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยสามารถนำมาเป็นพยานหลักฐานยันจำเลยในชั้นพิจารณาได้

 • ป.วิ.อาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง: พยานหลักฐานที่นำมาสืบหากมีน้ำหนักพอ ศาลอาจรับฟังและลงโทษได้

 • ป.พ.พ. มาตรา 15: บุคคลเริ่มมีสภาพเป็นบุคคลเมื่อคลอดและมีชีวิต และสิ้นสุดความเป็นบุคคลเมื่อถึงแก่ความตาย

ดุลพินิจของศาล:

ศาลรับฟังคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนประกอบกับพยานแวดล้อมและพยานทางวิทยาศาสตร์ เห็นว่าเพียงพอที่จะพิสูจน์การกระทำผิดของจำเลยได้ จำเลยมิได้นำพยานหลักฐานมาหักล้างโจทก์ จึงให้รับฟังได้

อย่างไรก็ตาม แม้จำเลยจะมีเจตนาข่มขืน แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ตายได้ถึงแก่ความตายไปก่อน จึงไม่มีสภาพความเป็น “บุคคล” อีกต่อไป จำเลยจึงไม่มีความผิดในข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา เพราะไม่สามารถข่มขืน “บุคคล” ที่เสียชีวิตแล้วได้ตามกฎหมาย

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักกำลังเผชิญคดีอาญาร้ายแรง หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้คำให้การในชั้นสอบสวนและสิทธิในการต่อสู้คดี ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

***********************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ – การคำนวณระยะเวลาในการอุทธรณ์คำพิพากษา

กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง – การขอขยายเวลาอุทธรณ์และผลทางกฎหมายของการยื่นเกินกำหนด

2. หัวข้อเรื่อง:

“ขยายเวลาอุทธรณ์แล้ว ต้องยื่นภายในวันที่ครบกำหนดใหม่ มิอาจอ้างวันหยุดตามมาตรา 193/8 ได้”

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 1676/2543

ข้อเท็จจริง:

 • ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังวันที่ 30 ธันวาคม 2541

 • จำเลยต้องยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน คือ วันที่ 30 มกราคม 2542

 • ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอขยายเวลาอุทธรณ์ในวันที่ 28 มกราคม 2542 โดยขอให้เริ่มนับจากวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2542

 • ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายเวลาออกไปอีก 10 วันนับแต่วันครบกำหนด คือครบวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2542 (เป็นวันทำการปกติ)

 • แต่จำเลยกลับยื่นอุทธรณ์วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2542 เกินจากกำหนดที่ขยายแล้วถึง 2 วัน

ข้อกฎหมาย:

 • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/8: ใช้ในกรณีวันสุดท้ายของ “ระยะเวลาตามกฎหมาย” ตรงกับวันหยุด จึงให้ถือว่าวันเปิดทำการเป็นวันสุดท้ายแทน

 • แต่หาก “มีการขยายระยะเวลาโดยคำสั่งศาล” วันสุดท้ายที่ขยายให้นั้นถือเป็นวันสุดท้ายโดยเฉพาะเจาะจง ไม่อยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 193/8

 • การยื่นอุทธรณ์เกินวันดังกล่าวถือว่า พ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ แม้จะเป็นเพียง 1-2 วันก็ตาม

ดุลพินิจของศาล:

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอนุญาตขยายเวลาอุทธรณ์ให้จำเลยถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2542 ซึ่งเป็นวันทำการปกติ แต่จำเลยยื่นอุทธรณ์วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2542 จึงพ้นกำหนด แม้จะอ้างว่าวันครบกำหนดตรงกับวันหยุดก็ไม่อาจอ้างมาตรา 193/8 ได้ เพราะไม่ได้เป็น “ระยะเวลาทางกฎหมาย” แต่เป็นระยะเวลาที่ “ศาลกำหนดให้โดยคำสั่ง” เท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักเกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีที่มีเงื่อนเวลาในการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกา ขอให้รีบปรึกษาทนายความแต่เนิ่น ๆ เพื่อไม่ให้เสียสิทธิในทางคดี ติดต่อ ทนายภูวงษ์ โทร. 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

เกี่ยวกับ กฎหมายผู้บริโภค โดยเฉพาะประเด็น “ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย” ตาม พระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ.2551 และ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551

2. หัวข้อเรื่อง

ผู้ประกอบการสามารถพิสูจน์ได้ว่าสินค้าปลอดภัย จึงไม่มีความรับผิด – ข้าวสารบรรจุถุงมีเชื้อรา ไม่ใช่ความรับผิดของผู้ผลิต

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา 4829/2558

✅ ข้อเท็จจริง

 • โจทก์ซื้อข้าวสารหอมมะลิบรรจุถุงตรามาบุญครองจากร้านค้า แล้วพบว่ามีเชื้อราปนเปื้อน

 • จำเลยเป็นผู้ผลิตและบรรจุข้าวสารดังกล่าว

 • จำเลยนำสืบถึงกระบวนการผลิตที่มีการควบคุมคุณภาพอย่างเคร่งครัด ได้รับการรับรองระบบมาตรฐานความปลอดภัยอาหาร

 • ไม่มีข้าวสารบรรจุถุงอื่นในวันเดียวกันที่พบการปนเปื้อนเชื้อราเช่นเดียวกัน

⚖️ ข้อกฎหมายและดุลพินิจของศาล

 • ตาม มาตรา 29 พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 กำหนดให้ผู้ประกอบการมีภาระการพิสูจน์เฉพาะในเรื่องที่อยู่ในความรู้เห็นของตน เช่น กระบวนการผลิต การขนส่ง

 • เมื่อจำเลยนำสืบแล้วว่า กระบวนการผลิตมีระบบควบคุมมาตรฐาน ปลอดภัย ไม่มีข้าวสารอื่นในล็อตเดียวกันที่เสีย จึง ปลดภาระการพิสูจน์ของจำเลยได้

 • ส่วนประเด็นว่าใครเป็นผู้ทำให้ข้าวสารเกิดเชื้อรา ถือว่า อยู่นอกเหนือความรู้เห็นของจำเลย แต่กลับเป็นสิ่งที่โจทก์ทราบ เพราะเกิดขึ้นหลังการส่งมอบ

 • ศาลวินิจฉัยว่า ข้าวสารของจำเลย มิใช่สินค้าที่ไม่ปลอดภัยตามมาตรา 7 (1) จึง ไม่ต้องรับผิด ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดต่อความเสียหายฯ พ.ศ.2551

🧠 เหตุผลที่ศาลวินิจฉัย

 • ภาระการพิสูจน์อยู่ที่ฝ่ายจำเลยเฉพาะเรื่องที่ตนควบคุมได้ เช่น ขั้นตอนผลิต ส่วนสาเหตุการปนเปื้อนที่อาจเกิดภายหลัง เช่น จากร้านค้า/ผู้บริโภค ไม่ใช่สิ่งที่จำเลยต้องรับผิด

 • หากให้จำเลยรับผิดทุกกรณีโดยไม่มีเหตุยกเว้น ย่อมไม่เป็นธรรม และอาจนำไปสู่การกลั่นแกล้งผู้ประกอบการได้

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

**********************************

คำพิพากษาฎีกา ชุดที่ 03

หัวข้อเรื่อง

1. ข้อสัญญาจ้างทนายความที่ให้ส่วนแบ่งจากทรัพย์สินคดี ถือเป็นโมฆะเพราะขัดจริยธรรมและศีลธรรมอันดี

2. การร้องเรียนเจ้านายโดยสุจริต ย่อมไม่เป็นหมิ่นประมาทหรือแจ้งความเท็จ

3. ครูสั่งนักเรียนวิ่งกลางแดดจนเสียชีวิต เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ หน่วยงานรัฐต้องรับผิด 

4. สิทธิร้องทุกข์ของผู้เช่าซื้อกรณีถูกหลอกให้ขายดาวน์รถยนต์ – ฉ้อโกงโดยผู้ซื้อดาวน์

5. ฐานะของประกาศหัวหน้าคณะปฏิวัติในทางกฎหมายตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ

6. พนักงานมหาวิทยาลัยไม่ใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมายอาญา แต่ย่อมรับผิดฐานยักยอกได้

7. สัญญาต่างตอบแทนที่มีเงื่อนไข หากทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งสัญญาสูญหายก่อนเงื่อนไขสำเร็จ คู่สัญญาไม่มีสิทธิเรียกร้อง 

8. การฟ้องเรียกค่าสินไหมจากอุบัติเหตุทางยานพาหนะ ต้องระบุฐานความรับผิดให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นห้ามอุทธรณ์

9. ผู้เช่าที่ดินมีสิทธิฟ้องขจัดการรบกวนแม้ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน

10. การจัดเก็บภาษีป้ายจากสถานีบริการน้ำมันและสิทธิในการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่

************************************

01. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

พระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 และ หลักจริยธรรมทางวิชาชีพทนายความ

โดยเฉพาะเรื่อง ความชอบด้วยกฎหมายและจริยธรรมของข้อตกลงจ้างว่าความที่ให้ทนายความได้ส่วนแบ่งจากผลคดี

2. หัวข้อเรื่อง

“ข้อสัญญาจ้างทนายความที่ให้ส่วนแบ่งจากทรัพย์สินคดี ถือเป็นโมฆะเพราะขัดจริยธรรมและศีลธรรมอันดี”

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 1260/2543

➤ ข้อเท็จจริง

โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยซึ่งเป็นทนายความให้ดำเนินคดีเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรส โดยมีข้อตกลงว่า หากจำเลยว่าความชนะและลูกความได้รับแบ่งสินสมรส จำเลยจะได้รับสินจ้างเพิ่มอีก ร้อยละ 5 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลูกความได้รับ

➤ ข้อกฎหมาย

 • พ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ. 2528 มาตรา 33 ห้ามบุคคลที่ไม่เป็นทนายความกระทำการในทางคดีให้ผู้อื่น และกำหนดหน้าที่และความประพฤติของทนายความ

 • ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529

 • หลักทั่วไปของกฎหมายแพ่ง ว่าด้วย ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน

➤ ดุลพินิจของศาล

ศาลเห็นว่าแม้ข้อบังคับมรรยาททนายความฉบับ พ.ศ. 2529 ไม่ได้ห้ามอย่างชัดแจ้ง ไม่ให้ทนายความทำสัญญารับส่วนแบ่งจากผลคดี แต่การกระทำเช่นนี้ เป็นการขัดต่อหลักจริยธรรมทางวิชาชีพทนายความ ซึ่งทนายความพึงต้องดำรงไว้ เนื่องจากทนายความเป็นผู้มีบทบาทเสมือนเจ้าหน้าที่ของศาลในการอำนวยความยุติธรรม

การที่ทนายความมีส่วนได้เสียจากผลแห่งคดีโดยตรง อาจทำให้การดำเนินคดี ขาดความเที่ยงธรรมและขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงวินิจฉัยว่า ข้อสัญญาดังกล่าว เป็นโมฆะตามกฎหมาย

สรุป

ข้อตกลงว่าจ้างทนายความที่กำหนดให้ทนายความได้รับส่วนแบ่งจากผลแห่งคดี ถือเป็นโมฆะ เพราะขัดต่อจริยธรรมและศีลธรรมอันดี แม้จะไม่ถูกลงโทษทางวินัยก็ตาม แต่ย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่มีผลผูกพันคู่สัญญา

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้

📞 ติดต่อ ทนายภูวงษ์ โทร. 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

🔎 ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

************************************

02. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

คดีนี้เกี่ยวข้องกับกฎหมายอาญา โดยเฉพาะ ความผิดฐานหมิ่นประมาท และ ความผิดฐานแจ้งความเท็จ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 329 และ มาตรา 137, 172 ว่าด้วยข้อยกเว้นความผิดหากผู้กระทำมีเจตนาสุจริตเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือส่วนตนที่ชอบด้วยคลองธรรม

2. หัวข้อเรื่อง

“การร้องเรียนเจ้านายโดยสุจริต ย่อมไม่เป็นหมิ่นประมาทหรือแจ้งความเท็จ”

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา

➤ ข้อเท็จจริง

 • โจทก์เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล

 • จำเลยที่ 1 เป็นผู้ช่วยพยาบาลชั่วคราว

 • จำเลยที่ 2 ถึง 7 เป็นนายแพทย์ อยู่ใต้บังคับบัญชาโจทก์

 • จำเลยร่วมกันทำหนังสือร้องเรียนโจทก์ต่อหน่วยงานต้นสังกัด กล่าวหาว่าโจทกรับสินบนในการรับคนเข้าทำงาน และมีพฤติกรรมชู้สาวที่ผิดศีลธรรม

 • จำเลยส่งเทปบันทึกเสียงประกอบคำร้อง

 • กระทรวงสาธารณสุขตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย

 • ข่าวร้องเรียนปรากฏในหนังสือพิมพ์

 • โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดในข้อหาหมิ่นประมาทและแจ้งความเท็จ

➤ ข้อกฎหมาย

 • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1)(3) ระบุว่า

ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือติชมด้วยความเป็นธรรมเพื่อ… (1) เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตน หรือรักษาผลประโยชน์อันชอบธรรมของตนตามคลองธรรม หรือ (3) ติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ

ย่อมไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท

➤ ดุลพินิจของศาล

 • ศาลเห็นว่า พฤติการณ์ที่จำเลยร้องเรียนโจทก์นั้น สืบเนื่องมาจากพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นจริงหรือข้อสงสัยที่มีมูล

 • จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าโจทก์มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ

 • การร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงของโจทก์ เป็นการดำเนินการภายใต้สิทธิและหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชา

 • แม้มีการแนบหลักฐานหรือพูดเสริม แต่ก็เป็นไปเพื่อสนับสนุนข้อร้องเรียน มิใช่การใส่ร้ายป้ายสีโดยเจตนาร้าย

 • พฤติกรรมของจำเลยเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 329 (1)(3) จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท

 • และไม่เข้าข้อความผิดฐานแจ้งความเท็จ เนื่องจากมีมูลความจริงเป็นพื้นฐานและกระทำโดยสุจริต

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ เช่น ถูกฟ้องหมิ่นประมาทหรือถูกกล่าวหาว่าแจ้งความเท็จจากการร้องเรียนในที่ทำงาน หรือการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

************************************

03. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ และ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด มาตรา 420 และมาตรา 76

2. หัวข้อเรื่อง

ครูสั่งนักเรียนวิ่งกลางแดดจนเสียชีวิต เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ หน่วยงานรัฐต้องรับผิด

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา 5129/2546

ข้อเท็จจริง

จำเลยที่ 1 เป็นครูสอนวิชาพลศึกษาที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง สั่งให้นักเรียนชายอายุระหว่าง 11-12 ปี วิ่งรอบสนาม 3 รอบเพื่ออบอุ่นร่างกาย ต่อมาเมื่อวิ่งไม่เป็นระเบียบ ได้สั่งเพิ่มอีก 3 รอบ รวม 6 รอบ และยังสั่งอีก 3 รอบ จนถึงรอบที่ 11 ทำให้นักเรียนชายคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคหัวใจล้มลงและเสียชีวิต

ข้อกฎหมาย

 • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ว่าด้วยการกระทำละเมิด

 • มาตรา 76 ว่าด้วยความรับผิดของตัวแทนหน่วยงานรัฐ

 • พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 ห้ามมิให้ฟ้องเจ้าหน้าที่หากการกระทำนั้นเป็นการปฏิบัติหน้าที่

ดุลพินิจของศาลและเหตุผล

 • ศาลวินิจฉัยว่า การสั่งวิ่งรอบสนามช่วงแรกเป็นการอบอุ่นร่างกาย เป็นสิ่งสมควร

 • แต่การสั่งให้วิ่งต่อเนื่องหลายรอบในช่วงบ่ายที่อากาศร้อนจัด โดยไม่คำนึงถึงสภาพร่างกายของเด็กนักเรียน ถือเป็นความประมาทเลินเล่อ

 • แม้ครูจะไม่ทราบว่าเด็กมีโรคหัวใจ แต่ครูในฐานะผู้ควบคุมต้องใช้ความระมัดระวัง โดยเฉพาะการออกกำลังกายในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยง

 • การกระทำนี้ถือว่า จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการ และ จำเลยที่ 2 คือกรมสามัญศึกษา (รัฐ) ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ (มารดาผู้เสียชีวิต) ตามมาตรา 76

 • ถึงแม้จะมีเงินช่วยเหลืองานศพจากบุคคลภายนอก ก็ไม่สามารถนำมาหักล้างหรือทำให้ความรับผิดของรัฐลดลงได้

 • ศาลยังชี้ว่าแม้เด็กจะยังไม่มีรายได้จริงในขณะนั้น แต่ มารดาก็มีสิทธิเรียกค่าสินไหมค่าขาดไร้อุปการะ

 • ส่วนจำเลยที่ 1 แม้จะมีเจตนาหวังดี สอนนักเรียนตามวิสัยครู แต่การกระทำยังถือว่าประมาท แม้ไม่ถึงขั้นจงใจหรือประมาทอย่างร้ายแรง

 • เมื่อมี พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ใช้บังคับ ศาลจึงห้ามมิให้ฟ้องเจ้าหน้าที่โดยตรง โจทก์ต้องฟ้องหน่วยงานของรัฐแทน

📌 สรุป

การกระทำของครูในการสั่งลงโทษนักเรียนโดยการให้วิ่งกลางแดดจัดหลายรอบจนทำให้นักเรียนเสียชีวิต ถือเป็นความประมาท แม้จะไม่มีเจตนา แต่หน่วยงานต้นสังกัดยังต้องรับผิดตามกฎหมาย มารดาสามารถฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้จากกรมสามัญศึกษาในฐานะหน่วยงานของรัฐที่ครูปฏิบัติหน้าที่อยู่

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้

📞 ติดต่อ ทนายภูวงษ์ โทร. 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่

🌐 www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

************************************

04. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายอาญา เรื่องความผิดฐานฉ้อโกง และสิทธิของผู้เสียหายในการร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

2. หัวข้อเรื่อง

สิทธิร้องทุกข์ของผู้เช่าซื้อกรณีถูกหลอกให้ขายดาวน์รถยนต์ – ฉ้อโกงโดยผู้ซื้อดาวน์

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา

▪ ข้อเท็จจริง

จำเลยกับพวกได้หลอกลวงผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ให้ขายดาวน์รถยนต์แก่จำเลย โดยในสัญญาเช่าซื้อระบุห้ามมิให้ผู้เช่าซื้อจำหน่ายรถยนต์ให้บุคคลอื่น แต่ผู้เสียหายได้แจ้งบริษัทผู้ให้เช่าซื้อถึงความประสงค์ที่จะเปลี่ยนตัวผู้เช่าซื้อเป็นจำเลยแล้ว ก่อนการจำหน่ายดาวน์ดังกล่าว

▪ ข้อกฎหมาย

 • ปัญหาแรกคือ การกระทำของจำเลยเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 หรือไม่

 • ปัญหาต่อมาคือ ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อที่กระทำการขัดต่อสัญญาเช่าซื้อดังกล่าว จะถือเป็น “ผู้เสียหาย” ที่มีอำนาจร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาได้หรือไม่ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4)

▪ ดุลพินิจของศาล

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

 • แม้ผู้เสียหายจะฝ่าฝืนข้อสัญญาเช่าซื้อโดยการนำรถไปจำหน่ายให้จำเลย ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างผู้เสียหายกับบริษัทผู้ให้เช่าซื้อ มิใช่การสมคบกับจำเลยในการฉ้อโกง

 • ผู้เสียหายยังคงมีฐานะเป็น ผู้ครอบครองและใช้รถยนต์ในฐานะผู้เช่าซื้อ อยู่ขณะถูกฉ้อโกง

 • จำเลยกับพวกมีพฤติกรรม หลอกลวงโดยตรงต่อผู้เสียหาย เพื่อให้ผู้เสียหายโอนผลประโยชน์จากการเช่าซื้อรถไปให้ จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงที่กระทำต่อผู้เสียหายโดยตรง

 • ผู้เสียหายจึงมี สถานะเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย และมีสิทธิร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับจำเลยได้

สรุป

คำพิพากษานี้ยืนยันว่า แม้ผู้เสียหายจะกระทำการขัดต่อข้อสัญญาเช่าซื้อ แต่หากไม่ได้ร่วมกระทำผิดฐานฉ้อโกงกับจำเลย การถูกหลอกให้โอนประโยชน์จากรถยนต์จึงถือเป็นการเสียหายโดยตรง ผู้เสียหายมีสิทธิร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4)

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

************************************

05. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายรัฐธรรมนูญ และหลักการอำนาจในการออกกฎหมายของคณะปฏิวัติ

2. หัวข้อเรื่อง

“ฐานะของประกาศหัวหน้าคณะปฏิวัติในทางกฎหมายตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ”

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา 1662/2505

ข้อเท็จจริง:

ในคดีนี้ มีประเด็นว่าคำสั่งหรือประกาศของหัวหน้าคณะปฏิวัติที่ไม่ได้ออกโดยกระบวนการนิติบัญญัติปกติ (เช่น ผ่านรัฐสภาหรือพระมหากษัตริย์) นั้นมีสถานะเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับได้หรือไม่ ภายหลังการยึดอำนาจสำเร็จของคณะปฏิวัติ

ข้อกฎหมาย:

ปัญหาหลักในคดีนี้คือ “สถานะของกฎหมายหรือคำสั่งที่ออกโดยหัวหน้าคณะปฏิวัติหลังการยึดอำนาจ” ว่าถือเป็นกฎหมายที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยเฉพาะในบริบทที่มิได้ออกตามระบบรัฐธรรมนูญเดิม เช่น ผ่านพระมหากษัตริย์ หรือโดยความเห็นชอบของสภา

ดุลพินิจของศาลและเหตุผล:

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อคณะปฏิวัติสามารถยึดอำนาจได้ “เป็นผลสำเร็จ” แล้ว การใช้อำนาจปกครองของหัวหน้าคณะปฏิวัติจึงมีผลในทางกฎหมายในฐานะเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยในช่วงเวลาดังกล่าว

ศาลให้เหตุผลว่า “ประกาศของหัวหน้าคณะปฏิวัติซึ่งมีผลบังคับแก่ประชาชน ถือเป็นกฎหมาย” ไม่ว่าจะไม่ได้ตราขึ้นโดยผ่านขั้นตอนนิติบัญญัติปกติก็ตาม กล่าวคือ เป็นการรับรองหลัก “ความชอบธรรมโดยผล” (De facto recognition) ของอำนาจใหม่ตามหลักกฎหมายมหาชน ซึ่งยอมรับว่าเมื่ออำนาจใหม่ควบคุมประเทศได้โดยสมบูรณ์แล้ว คำสั่งของอำนาจนั้นมีสถานะเป็นกฎหมายที่ใช้ได้ตามสภาพการณ์

📌 สรุป:

คำพิพากษานี้รับรองหลักการสำคัญว่า “เมื่อคณะปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองประเทศได้โดยสมบูรณ์แล้ว คำสั่งหรือประกาศของหัวหน้าคณะปฏิวัติมีผลเป็นกฎหมาย แม้จะไม่ได้ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติปกติก็ตาม” ถือเป็นการรับรองความชอบด้วยกฎหมายของอำนาจรัฐใหม่ในทางพฤตินัย เพื่อความมั่นคงในการปกครอง

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหากฎหมายรัฐธรรมนูญ อำนาจตามประกาศ หรือปัญหาการใช้กฎหมายในช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

************************************

06. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

คดีนี้เกี่ยวข้องกับ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 157, 161, 264, 268, 137 และ 352 และ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547 ว่าด้วยสถานะของพนักงานมหาวิทยาลัยว่าอยู่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตาม ป.อ. หรือไม่ รวมถึงปัญหาการเบียดบังเงินงบประมาณแผ่นดิน

2. หัวข้อเรื่อง

“พนักงานมหาวิทยาลัยไม่ใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมายอาญา แต่ย่อมรับผิดฐานยักยอกได้”

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา

✅ ข้อเท็จจริง

จำเลยเป็นพนักงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ รับผิดชอบด้านการเบิก–จ่าย ตรวจสอบ ติดตามเงินยืมและตัดยอดเงินยืม

จำเลยได้จัดทำเอกสารเกี่ยวกับงานการเงินโดยมิชอบ และมีการเบียดบังเงินงบประมาณแผ่นดินจำนวนหนึ่ง

โจทก์ (มหาวิทยาลัย) จึงฟ้องจำเลยว่ากระทำผิดตาม ป.อ. มาตรา 147 (เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์)

✅ ข้อกฎหมายและดุลพินิจของศาล

ประเด็นที่ 1: จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตาม ป.อ. หรือไม่

 • ศาลวินิจฉัยว่า จำเลยเป็น “พนักงานในสถาบันอุดมศึกษา” ตาม พ.ร.บ.ฯ ปี 2547

 • มิใช่ “ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา”

 • พนักงานในสถาบันอุดมศึกษาไม่ได้รับเงินเดือนจากงบประเภท “เงินเดือนราชการ” แต่เป็นค่าตอบแทนตามสัญญาจ้างจากเงินอุดหนุนหรือเงินรายได้มหาวิทยาลัย

 • จึง ไม่มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตาม ป.อ. ไม่อาจลงโทษตามมาตรา 147, 157, 161 ได้

ประเด็นที่ 2: จำเลยปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม หรือแจ้งความเท็จหรือไม่

 • แม้จำเลยบันทึกข้อมูลเท็จลงในเอกสารราชการ แต่เป็นผู้จัดทำเอกสารด้วยตนเอง และไม่ได้แจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานอื่น

 • ศาลวินิจฉัยว่า ไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 264, 268, 137

ประเด็นที่ 3: ใครเป็นผู้เสียหาย และจำเลยมีความผิดฐานใด

 • แม้จำเลยเบียดบังเงินที่มีชื่อ ธ. เป็นผู้รับเงิน แต่เงินนั้นเป็นของโจทก์ โดย ธ. เพียงได้รับมอบหมายให้ไปรับและนำไปใช้หนี้

 • โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายโดยตรง

 • แม้ฟ้องฐานเป็นเจ้าพนักงานยักยอก (ม.147) แต่เมื่อพฤติการณ์เข้าข่าย ความผิดฐานยักยอกของบุคคลธรรมดา (ม.352) และมีการระบุข้อเท็จจริงในฟ้องไว้ครบถ้วน

 • ศาลสามารถลงโทษในฐานความผิดที่ถูกต้องตาม ป.วิ.อ. ม.192 วรรคท้าย ประกอบ ม.215 และ ม.225

🔚 สรุป

แม้พนักงานมหาวิทยาลัยจะไม่มีสถานะเป็นเจ้าพนักงานตาม ป.อ. แต่หากกระทำการเบียดบังเงินของสถาบัน ก็สามารถถูกลงโทษฐาน ยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 352 ได้ ศาลมีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องแม้ฟ้องระบุผิดฐานความผิด

📌 หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่

🔎 www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*********************************

07. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายแพ่งว่าด้วยสัญญาแลกเปลี่ยน/สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข และหลักสัญญาต่างตอบแทน ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 370, 371 และ 372

2. หัวข้อเรื่อง

สัญญาต่างตอบแทนที่มีเงื่อนไข หากทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งสัญญาสูญหายก่อนเงื่อนไขสำเร็จ คู่สัญญาไม่มีสิทธิเรียกร้อง

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา

✅ ข้อเท็จจริง

 • โจทก์ตกลงขายรถยนต์เฟี้ยตให้จำเลย ราคา 55,000 บาท

 • จำเลยชำระเป็น เงินสด 20,000 บาท + รถยนต์ออสตินตีราคา 35,000 บาท

 • ทั้งสองฝ่ายได้ส่งมอบเงินสดและรถยนต์ให้แก่กันแล้ว

 • แต่มีเงื่อนไขว่า จะโอนกรรมสิทธิ์เมื่อโจทก์ผ่อนชำระและรับโอนทะเบียนรถยนต์เฟี้ยตจากกรมสวัสดิการเรียบร้อยแล้ว

 • ระหว่างนั้น รถเฟี้ยตที่อยู่กับจำเลย เกิดเพลิงไหม้เสียหายโดยไม่ใช่ความผิดของใคร

⚖ ข้อกฎหมาย

 • มาตรา 370 และ 371: กล่าวถึงกรณีสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อโอนทรัพย์สิน ถ้าทรัพย์สูญหายก่อนถึงเวลาโอน จะถือว่าเป็นโมฆะ หรือไม่สมบูรณ์

 • มาตรา 372 วรรคหนึ่ง: ระบุว่าสัญญาต่างตอบแทน หากฝ่ายหนึ่งไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ อีกฝ่ายก็ไม่มีสิทธิบังคับอีกฝ่ายให้ปฏิบัติการใด ๆ

🧠 ดุลพินิจของศาล

ศาลเห็นว่า

 • การที่โจทก์และจำเลยตกลงว่าจะโอนกรรมสิทธิ์เมื่อมีเงื่อนไขครบถ้วน แสดงว่า ยังไม่มีเจตนาโอนกรรมสิทธิ์ในขณะทำสัญญา

 • ขณะที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ รถเฟี้ยตเกิดไฟไหม้โดยไม่มีฝ่ายใดผิด ถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัย

 • เมื่อโจทก์ไม่สามารถส่งมอบรถเฟี้ยตตามเงื่อนไขได้ ก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์รถออสตินให้

 • เพราะเป็นสัญญา “ต่างตอบแทน” หากฝ่ายหนึ่งปฏิบัติไม่ได้ อีกฝ่ายก็ไม่ต้องปฏิบัติ

📌 สรุป

กรณีนี้ถือว่าเป็น สัญญาต่างตอบแทนที่ยังมีเงื่อนไขบังคับก่อน และเมื่อทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งสัญญาสูญหายก่อนเงื่อนไขจะสำเร็จ คู่สัญญาไม่มีสิทธิฟ้องเรียกให้อีกฝ่ายโอนทรัพย์อีกชิ้นได้ ถือเป็นการคุ้มครองความสมดุลทางกฎหมายของสัญญาโดยหลักธรรมาภิบาล

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์

🌐 www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

********************************

08. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการละเมิด (มาตรา 420 และมาตรา 437) รวมถึง กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 และมาตรา 142 ว่าด้วยหลักเกณฑ์การยื่นอุทธรณ์ในประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้น

2. หัวข้อเรื่อง

“การฟ้องเรียกค่าสินไหมจากอุบัติเหตุทางยานพาหนะ ต้องระบุฐานความรับผิดให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นห้ามอุทธรณ์”

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา

✅ ข้อเท็จจริง

โจทก์ฟ้องว่า รถยนต์ลากจูงและรถกึ่งพ่วงของจำเลยที่ 1 เกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำ ทำให้ทรัพย์สินบนรถเสียหาย โดยกล่าวหาว่า ถ. ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความประมาท เช่น ขับรถเร็วเกินกฎหมาย และพักผ่อนไม่เพียงพอ จนทำให้เกิดอุบัติเหตุดังกล่าว

✅ ข้อกฎหมายและหลักการ

 • มาตรา 420 ป.พ.พ. ว่าด้วยความรับผิดจากการละเมิด ซึ่งต้องเป็นผลจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ

 • มาตรา 437 วรรคหนึ่ง ป.พ.พ. ว่าด้วยความรับผิดของผู้ครอบครองยานพาหนะในกรณีที่เกิดความเสียหายจากยานพาหนะ โดยถือเป็นความรับผิดตามข้อสันนิษฐานของกฎหมาย ไม่ต้องพิสูจน์ว่าประมาทหรือไม่

 • มาตรา 425 ป.พ.พ. ให้นายจ้างต้องรับผิดแทนลูกจ้างที่กระทำละเมิดในขณะปฏิบัติงาน

 • มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ป.วิ.พ. ห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น

 • มาตรา 142 ป.วิ.พ. ข้อกำหนดว่าการพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ถือเป็นโมฆะ

✅ ดุลพินิจของศาลและเหตุผล

 • โจทก์ฟ้องในประเด็น การกระทำละเมิดของลูกจ้าง (มาตรา 420) โดยมิได้ยกปัญหาเกี่ยวกับ ความเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะตามมาตรา 437

 • ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่า ถ. มิได้ประมาทเลินเล่อ

 • แต่โจทก์กลับยื่นอุทธรณ์ว่า เป็นกรณีต้องรับผิดตามมาตรา 437 ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้ยกประเด็นนี้ไว้ในศาลชั้นต้น จึงถือเป็นการอุทธรณ์ข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น

 • การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนี้จึงไม่ชอบ ถือว่าผิดขั้นตอนตาม มาตรา 142 ป.วิ.พ.

📌 บทสรุป

ในคดีเรียกค่าสินไหมทดแทนจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับยานพาหนะ โจทก์จำต้องระบุฐานความรับผิดให้ชัดเจนแต่แรก หากเลือกใช้มาตรา 420 ต้องพิสูจน์ความประมาท หากจะใช้มาตรา 437 (ที่ไม่ต้องพิสูจน์ความประมาท) ก็ต้องฟ้องในแนวทางนี้ชัดเจนตั้งแต่ศาลชั้นต้น มิฉะนั้นอุทธรณ์ในภายหลังจะถูกตีตกเนื่องจากเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว

📞 หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ โทร. 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

📚 ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

************************************

09. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ของผู้เช่าและสิทธิฟ้องร้องขจัดการรบกวน (มาตรา 421 และ 1337)

2. หัวข้อเรื่อง

ผู้เช่าที่ดินมีสิทธิฟ้องขจัดการรบกวนแม้ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา

➤ ข้อเท็จจริง

 • โจทก์เช่าที่ดินจากเทศบาลเมืองโพธาราม เพื่อใช้เป็นที่จอดรถของโรงแรม

 • จำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของตึกแถวที่อยู่ติดกัน ได้ต่อเติมหลังคากันสาดล้ำเข้ามาในที่ดินที่โจทก์เช่า

 • ทำให้โจทก์ใช้ประโยชน์จากที่ดินได้ไม่สะดวกและได้รับความเดือดร้อน

➤ ข้อกฎหมาย

 • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 กำหนดว่าผู้ใดกระทำการอันละเมิดต่อผู้อื่น ต้องรับผิดชอบในความเสียหาย

 • มาตรา 1337 ระบุว่าเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ หรือผู้มีสิทธิครอบครองมีสิทธิฟ้องเพื่อขจัดการรบกวนหรือรำคาญที่เกิดขึ้น

➤ ดุลพินิจของศาลและเหตุผลในการวินิจฉัย

 • แม้โจทก์จะมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นเพียง “ผู้เช่า”

 • แต่การเช่าเพื่อใช้ในกิจการโรงแรมซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ของตน การถูกรุกล้ำจึงเป็นความเดือดร้อนรำคาญที่กระทบโดยตรง

 • ศาลเห็นว่า ผู้เช่าที่ดินเพื่อใช้ประกอบธุรกิจ มีสิทธิเรียกร้องให้บุคคลที่รุกล้ำเข้ามาขจัดการรบกวนออกไปได้ แม้การรุกล้ำจะเกิดขึ้นก่อนการเช่า

 • โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรื้อถอนหลังคากันสาดที่รุกล้ำออกได้

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเว็บไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

***********************************

10. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

ภาษีป้ายตามพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 และกฎหมายเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีของรัฐ เช่น ประมวลรัษฎากร และกฎหมายเกี่ยวกับราคาสินค้าควบคุม

2. กำหนดหัวข้อเรื่อง

การจัดเก็บภาษีป้ายจากสถานีบริการน้ำมันและสิทธิในการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา

📝 ข้อเท็จจริง

 • โจทก์เป็นผู้ประกอบกิจการสถานีบริการน้ำมัน

 • เทศบาลจำเลยที่ 1 ออกหนังสือประเมินภาษีป้าย ปี 2545–2548 จำนวน 4 ฉบับ

 • โจทก์อุทธรณ์การประเมิน โดยเฉพาะในส่วนของป้ายที่มีเครื่องหมายกรมสรรพากร ข้อความภาษีมูลค่าเพิ่ม และป้ายราคาน้ำมัน

 • จำเลยที่ 2 (นายกเทศมนตรี) วินิจฉัยยกเว้นภาษีเฉพาะบางส่วน แต่ให้เรียกเก็บเพิ่มเติมในส่วนคำว่า “ESSO” และราคาน้ำมัน

 • ต่อมามีการออกหนังสือแจ้งการประเมินภาษีป้ายฉบับที่ 2 เพื่อเรียกเก็บเพิ่มเติมตามคำวินิจฉัย

 • อย่างไรก็ตาม การประเมินครั้งแรกยังไม่ถูกยกเลิก

⚖️ ข้อกฎหมาย

 • มาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.ภาษีป้าย พ.ศ. 2510 ระบุว่าภาษีป้ายจัดเก็บเฉพาะป้ายที่มีชื่อ ยี่ห้อ หรือข้อความเพื่อการโฆษณาหรือหารายได้

 • มาตรา 30 โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คำประเมิน

 • มาตรา 33 โจทก์มีสิทธิฟ้องศาลหากไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์

 • ประกาศกรมสรรพากร ฉบับที่ 55 และ ประกาศคณะกรรมการกลางกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด ฉบับที่ 200 และ 249 บังคับให้ผู้จำหน่ายแสดงราคาสินค้าควบคุม

🧑‍⚖️ ดุลพินิจของศาล

 • ศาลวินิจฉัยว่า ป้ายราคาน้ำมันซึ่งเป็นสินค้าควบคุม มิใช่ป้ายโฆษณาเพื่อหารายได้ตามนิยามของ พ.ร.บ.ภาษีป้าย มาตรา 6

 • แม้จะอยู่ใต้ข้อความ “ESSO” และในโครงสร้างเดียวกัน ก็ต้องแยกพิจารณาเฉพาะส่วน

 • การประเมินภาษีในส่วนป้ายราคาน้ำมันและคำวินิจฉัยที่สั่งให้เสียภาษีในส่วนนั้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 • อีกทั้งคำวินิจฉัยที่ยกเว้นการเสียภาษีในบางส่วน (เครื่องหมายกรมสรรพากร) แต่ไม่ได้คืนเงินที่โจทก์ชำระไปก่อนหน้านั้น กลับนำไปหักกับยอดใหม่ เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง

 • ศาลจึงสั่งให้คืนภาษีและดอกเบี้ยแก่โจทก์ในส่วนที่ไม่สมควรต้องเสีย

📌 สรุป

 • ป้ายที่แสดงราคาสินค้าควบคุม (น้ำมัน) ไม่ต้องเสียภาษีป้าย เพราะเป็นหน้าที่ตามกฎหมายควบคุมสินค้า ไม่ใช่เพื่อการโฆษณา

 • หากคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตัดภาษีในบางส่วน ต้องคืนเงินภาษีส่วนที่ตัดให้แก่ผู้เสียภาษี

 • เจ้าหน้าที่ต้องยกเลิกการประเมินครั้งเก่าด้วย ไม่เช่นนั้นจะถือว่ายังมีผลบังคับ

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

************************************

คำพิพากษาฎีกา ชุดที่ 4

คำพิพากษาฎีกา ชุดที่ 04

1. การใช้ดุลพินิจศาลอุทธรณ์ไม่ริบรถยนต์บรรทุกของกลางในคดีบรรทุกน้ำหนักเกิน

2. ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันและสิทธิที่อาจถูกจำกัดตามสัญญา

3. ไม่มีความผิดฐานประมาท เมื่อรถของผู้เสียหายเสียหลักตัดหน้ากระชั้นชิด

4. การยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะโดยสมบูรณ์ ไม่ต้องจดทะเบียนแม้มีภาระจำนอง และไม่ผูกพันข้อเท็จจริงตามคดีอาญา

5. ขับรถเปลี่ยนช่องทางกะทันหัน แม้ไม่ชน แต่ถือว่าประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย

6. การเพิ่มเติมฟ้องในคดียาเสพติด – การใช้สายลับล่อซื้อไม่ถือเป็นการล่อให้กระทำความผิด

7. เจ้าของรวมใช้สิทธิต่อบุคคลภายนอกโดยไม่ขัดสิทธิของเจ้าของรวมอื่น และการร้องสอดของเจ้าของรวม

8. คำสั่งเลิกจ้างย้อนหลังโดยอ้างพฤติการณ์ทุจริต ขัดคำสั่งพักงานและคำพิพากษาศาลอาญา

9. กรณีผู้รับประโยชน์ในประกันชีวิตถึงแก่ความตายก่อนผู้เอาประกันภัย เงินประกันตกแก่ใคร

10. ผู้ถือหุ้นมีสิทธิฟ้องกรรมการบริษัทฐานยักยอก เมื่อกรรมการร่วมกับบุคคลภายนอกทำความผิดต่อนิติบุคคล

**************************************

04/1

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายอาญา – เรื่องการริบทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1)

และ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 (9), 218 วรรคหนึ่ง

2. หัวข้อเรื่อง

การใช้ดุลพินิจศาลอุทธรณ์ไม่ริบรถยนต์บรรทุกของกลางในคดีบรรทุกน้ำหนักเกิน

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา

🟦 ข้อเท็จจริง

โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีอาญา กรณีใช้ รถยนต์บรรทุกของกลาง บรรทุก น้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 1 เดือน ปรับ 3,000 บาท และรอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี

ศาลชั้นต้น สั่งริบรถบรรทุกของกลาง

ต่อมา ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่าไม่ริบของกลาง

🟦 ข้อกฎหมาย

 • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) กำหนดให้ ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิด ต้องริบ

 • ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9) ว่าด้วยกรณีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่มีการแก้ไขไม่เป็นสาระสำคัญ

 • มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ห้ามฎีกาในกรณีแก้ไขเล็กน้อย

🟦 ดุลพินิจของศาล

 • ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ได้วินิจฉัยโดยตรง ว่ารถบรรทุกเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดหรือไม่ แต่ ข้อเท็จจริงฟังได้อยู่แล้วว่าถูกใช้ในการกระทำผิด

 • การที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยไม่ริบทรัพย์ เท่ากับว่าใช้ ดุลพินิจไม่ริบทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด ซึ่ง ไม่ขัดต่อกฎหมาย

 • การแก้ไขเพียงเรื่อง “ริบหรือไม่ริบ” ไม่ใช่สาระสำคัญของโทษ จึง ไม่อาจฎีกาได้

🔚 สรุป

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ ไม่ริบรถยนต์ของกลาง เป็นการใช้ ดุลพินิจตามสมควรของศาล และถือเป็นการ แก้ไขเพียงเล็กน้อย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9) ซึ่ง ไม่อนุญาตให้ฎีกา ตามมาตรา 218 วรรคหนึ่ง

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*********************************

04/2

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วย การค้ำประกัน โดยเฉพาะบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิของผู้ค้ำประกันตามมาตรา 688, 689, 690 และข้อยกเว้นตามมาตรา 691

2. กำหนดหัวข้อเรื่อง

“ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันและสิทธิที่อาจถูกจำกัดตามสัญญา”

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 22113/2555

ข้อเท็จจริง

เจ้าหนี้ฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้แทนลูกหนี้ โดยมีข้อพิพาทว่า ผู้ค้ำประกันได้ตกลงยกเว้นสิทธิบางประการหรือไม่ และหากตกลงแล้วจะถือว่าผู้ค้ำประกันต้องรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้ตามมาตรา 691 หรือไม่

ข้อกฎหมาย

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติสิทธิของผู้ค้ำประกันไว้หลายประการ ได้แก่

 • มาตรา 688: ให้ผู้ค้ำประกันมีสิทธิบังคับให้เจ้าหนี้ไปเรียกลูกหนี้ชำระหนี้ก่อน

 • มาตรา 689: มีสิทธิให้เจ้าหนี้บังคับจากทรัพย์สินลูกหนี้ก่อน หากไม่ยากเกินไป

 • มาตรา 690: ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์สินลูกหนี้อยู่ในมือ ต้องใช้หนี้จากทรัพย์นั้นก่อน

 • มาตรา 691: หากผู้ค้ำประกันยอมรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้หรือเป็นลูกหนี้ร่วมแล้ว จะไม่มีสิทธิตามมาตรา 688-690

ดุลพินิจของศาล

ศาลพิจารณาว่า จำเลยที่ 2 มิได้ตกลงในสัญญาค้ำประกันว่าจะยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หรือยอมรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้โดยตรง ข้อความในสัญญาเพียงแต่ระบุยกเว้นสิทธิตามมาตรา 688 เท่านั้น

การตีความว่าจะรวมถึงการยกเว้นสิทธิตามมาตรา 689 และ 690 โดยอาศัยถ้อยคำเดียวกันนั้น จะเป็นการตีความขยายความรับผิดของผู้ค้ำประกันในทางเสียเปรียบ ซึ่งขัดต่อ หลักการตีความตามมาตรา 11 ที่ระบุว่า การตีความสัญญาต้องไม่เป็นผลร้ายต่อฝ่ายที่เสียเปรียบ

เหตุผลของศาล

ศาลจึงวินิจฉัยว่า แม้ในสัญญาจะระบุยกเว้นสิทธิบางข้อ เช่น มาตรา 688 ก็ตาม แต่เมื่อไม่มีการระบุอย่างชัดแจ้งถึงการยกเว้นสิทธิตามมาตรา 689 และ 690 รวมทั้งไม่มีข้อความแสดงว่า “ยอมรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้” หรือ “ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม” การตีความให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดเสมือนลูกหนี้ร่วมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุปผลคำพิพากษา

จำเลยที่ 2 จึงถือเป็นผู้ค้ำประกันตามปกติ ไม่ใช่ลูกหนี้ร่วม และมีสิทธิตามมาตรา 689 และ 690 แม้จะยกเว้นสิทธิตามมาตรา 688 ไปก็ตาม เจ้าหนี้จึงมีสิทธิฟ้องผู้ค้ำประกันได้โดยไม่ต้องบังคับลูกหนี้ก่อนเฉพาะในกรณีที่ตกลงไว้ตามสัญญา

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเวปไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

************************************

04/3

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายอาญา – ความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

โดยเฉพาะในบริบทของ การขับขี่ยานพาหนะในทางเดินรถ

2. หัวข้อเรื่อง

ไม่มีความผิดฐานประมาท เมื่อรถของผู้เสียหายเสียหลักตัดหน้ากระชั้นชิด

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา 4883/2553

➤ ข้อเท็จจริง

จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อพ่วงมาด้วยความเร็วสูงตามทางเดินรถของตน ในขณะที่นาย ส. ขับรถกลับรถ แต่เกิดเหตุรถของ ส. เสียหลักหมุนเข้ามาในช่องเดินรถของจำเลยในระยะกระชั้นชิด ทำให้เกิดการเฉี่ยวชนกัน เป็นเหตุให้ ส. ถึงแก่ความตาย

➤ ข้อกฎหมาย

พิจารณาตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291

“ผู้ใดกระทำโดยประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ…”

➤ ดุลพินิจของศาล

 • แม้จำเลยจะขับรถด้วยความเร็วสูง

 • แต่จำเลยขับรถอยู่ในช่องทางเดินรถของตนโดยถูกต้อง

 • เหตุเฉี่ยวชนเกิดขึ้นจากการที่รถของ ส. เสียการทรงตัวและหมุนเข้ามาขวางในช่องทางของจำเลยอย่างกะทันหัน

 • การขับรถด้วยความเร็วและไม่อยู่ในเลนซ้ายจึงไม่ใช่ “เหตุโดยตรง” ที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ

 • ศาลวินิจฉัยว่า จำเลย ไม่สามารถหลบหลีกได้ทันในสถานการณ์นั้น

→ จึงไม่ถือเป็นความประมาทตามกฎหมาย

🔍 สรุป

ศาลฎีกายกฟ้องจำเลย โดยเห็นว่าแม้จำเลยจะขับรถเร็วและไม่อยู่ในเลนซ้าย แต่ไม่ได้เป็นเหตุโดยตรงของการเฉี่ยวชน เพราะรถของผู้ตายเป็นฝ่ายเสียหลักและตัดหน้ากระชั้นชิด จำเลยไม่สามารถหลบหลีกได้ทัน ถือว่าไม่ได้กระทำโดยประมาท

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์

📌 www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*************************************

04/4

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายที่ดินและทรัพย์สินสาธารณะ โดยเฉพาะในประเด็นการยกที่ดินให้เป็น ทางสาธารณะ, สาธารณสมบัติของแผ่นดิน, การจำนอง, และ ผลผูกพันในคดีแพ่งและคดีอาญา

2. หัวข้อเรื่อง

การยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะโดยสมบูรณ์ ไม่ต้องจดทะเบียนแม้มีภาระจำนอง และไม่ผูกพันข้อเท็จจริงตามคดีอาญา

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 4377/2549

➤ ข้อเท็จจริง

 • เจ้าของที่ดินชื่อ “ช.” ได้แสดงเจตนายกทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะ และแม้จะระบุในหนังสือว่า จะไปจดทะเบียนภายใน 3 วัน

 • ทางพิพาทแปลงนี้ติดจำนองกับธนาคาร โดยสัญญาจำนองระบุห้ามให้สิทธิใด ๆ แก่บุคคลอื่นเว้นแต่ได้รับความยินยอมจากผู้รับจำนองเป็นลายลักษณ์อักษร

 • ภายหลัง พนักงานอัยการฟ้องจำเลยที่ 1 ว่าเข้ายึดครอบครองและก่อสร้างในทางพิพาทโดยมิชอบ แต่ศาลอาญายกฟ้องเพราะยังมีข้อโต้แย้งว่าเป็นทางสาธารณะหรือไม่ และไม่ปรากฏว่าเจตนาทำผิดกฎหมาย

➤ ข้อกฎหมายและดุลพินิจของศาล

ประเด็นที่ 1: การยกทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะสมบูรณ์หรือไม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

 • การที่เจ้าของที่ดินแสดงเจตนายกทางให้เป็น ทางสาธารณะ ถือว่าเป็นการตกเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยสมบูรณ์ทันที ตามกฎหมาย แม้จะยังไม่ได้นำไปจดทะเบียนตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525

 • การจดทะเบียนมีไว้เพื่อความเรียบร้อย แต่ไม่เป็นเงื่อนไขให้การยกทรัพย์นั้นตกเป็นของแผ่นดิน

 • ไม่จำเป็นต้องมีการแสดงเจตนารับจากหน่วยงานราชการ เช่น นายอำเภอหรือนายกเทศมนตรี

ประเด็นที่ 2: การติดจำนองมีผลทำให้การยกเลิกไม่ได้หรือไม่

 • ศาลเห็นว่าเงื่อนไขในสัญญาจำนองเป็นเรื่อง ระหว่างผู้จำนองกับผู้รับจำนอง เท่านั้น

 • แม้จะห้ามให้สิทธิในทรัพย์ที่จำนองโดยไม่ขออนุญาต แต่หากผู้จำนองฝ่าฝืน เงื่อนไขนั้นก็เพียงให้ผู้รับจำนองมีสิทธิ เรียกชำระหนี้หรือบังคับจำนองทันที

 • ไม่ทำให้การยกทรัพย์ (ทางพิพาท) เป็นทางสาธารณะเป็นโมฆะหรือไร้ผล

 • ดังนั้น แม้ไม่ได้รับความยินยอมจากธนาคาร การยกให้ทางยังมีผลตามกฎหมาย

ประเด็นที่ 3: ผลของคดีอาญาที่ศาลยกฟ้องจำเลย

 • แม้ในคดีอาญาจะมีการฟ้องว่าจำเลยยึดครอบครองที่ดินของรัฐ (ทางพิพาท) แต่ศาลอาญายกฟ้องด้วยเหตุว่า ยังมีข้อโต้แย้งว่าเป็นทางสาธารณะหรือไม่

 • และจำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าตนมีสิทธิกระทำการได้

 • ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำวินิจฉัยในคดีอาญา ไม่ผูกพันข้อเท็จจริงว่า “ทางพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะ”

 • คดีนี้จึงไม่ต้องถือเอาข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46

🔎 สรุป

 • การยกทางให้เป็นทางสาธารณะสมบูรณ์โดยไม่ต้องจดทะเบียน แม้มีภาระจำนอง

 • ข้อห้ามในสัญญาจำนองเป็นเรื่องภายใน ไม่ทำลายผลของการยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะ

 • คำพิพากษาคดีอาญาไม่ผูกพันข้อเท็จจริงในคดีแพ่ง หากไม่มีการวินิจฉัยโดยตรงในประเด็นนั้น

📌 หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้

ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่

🌐 www.สู้คดี.com

🌐 www.ทนายภูวงษ์.com

**************************************

04/5

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายอาญา – ความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ

เกี่ยวข้องกับ การใช้รถใช้ถนน และ มาตรฐานความระมัดระวังของผู้ขับขี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300

2. หัวข้อเรื่อง

ขับรถเปลี่ยนช่องทางกะทันหัน แม้ไม่ชน แต่ถือว่าประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา 7891/2544

ข้อเท็จจริง

จำเลยขับรถยนต์บรรทุกและเลี้ยวซ้ายเพื่อเปลี่ยนช่องเดินรถ โดยไม่ได้ให้สัญญาณไฟล่วงหน้า หรือรอจังหวะให้ปลอดภัยก่อนเปลี่ยนช่อง ขณะนั้นมีผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์มาทางช่องเดินรถดังกล่าวด้วยความเร็ว เมื่อจำเลยหักรถเปลี่ยนเลนอย่างกะทันหัน ผู้เสียหายต้องหักหลบด้วยสัญชาตญาณ ทำให้รถล้ม แม้ไม่มีการเฉี่ยวชน แต่ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส

ข้อกฎหมาย

 • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300: ผู้ใดกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ต้องรับโทษ

 • ข้อพิจารณาเรื่องความประมาท: การเปลี่ยนช่องทางกะทันหันโดยไม่ให้สัญญาณหรือรอจังหวะปลอดภัย ถือเป็นการขาดความระมัดระวังตามสมควร ซึ่งผู้ขับขี่รถบรรทุกควรกระทำตามวิสัยของผู้มีอาชีพนี้

ดุลพินิจของศาล

ศาลเห็นว่าแม้รถของจำเลยจะไม่ได้เฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์โดยตรง แต่การเปลี่ยนเลนอย่างกะทันหันเป็นเหตุให้ผู้เสียหายต้องหักรถหลบและล้มลง ศาลถือว่าเป็นเหตุโดยตรงจากความประมาทของจำเลย การล้มและการบาดเจ็บของผู้เสียหายจึงเป็นผลของการกระทำโดยประมาทนั้น

📌 สรุป

ผู้ขับขี่รถยนต์ แม้จะไม่ได้ชนผู้อื่นโดยตรง แต่หากการกระทำโดยประมาทของตนเป็นเหตุให้ผู้อื่นต้องหักหลบจนเกิดอุบัติเหตุ ก็ถือว่าตนมีความผิดฐานประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย ผู้ประกอบอาชีพขับรถต้องมีความระมัดระวังตามวิสัยอย่างเคร่งครัด

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่

🌐 www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*************************************

04/6

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

 • กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (มาตรา 163, 164 และ 226)

 • กฎหมายยาเสพติดให้โทษ

 • พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด

 • กฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540

2. หัวข้อเรื่อง

การเพิ่มเติมฟ้องในคดียาเสพติด – การใช้สายลับล่อซื้อไม่ถือเป็นการล่อให้กระทำความผิด

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 8187/2543

ข้อเท็จจริง

 • โจทก์ (อัยการ) ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องระบุฐานะของจำเลยว่าเป็นพนักงานของรัฐ (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ)

 • จำเลยถูกจับจากการล่อซื้อยาเสพติดโดยสายลับของตำรวจ

 • ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด แต่ไม่ได้ปรับบทลงโทษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ

ข้อกฎหมาย

 • มาตรา 163 วรรคหนึ่ง ให้โจทก์สามารถแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา หากมีเหตุอันควร

 • มาตรา 164 ไม่อนุญาตให้แก้หรือเพิ่มเติมฟ้องหากทำให้จำเลยเสียเปรียบ ยกเว้นกรณีแก้ฐานความผิดที่จำเลยทราบดี

 • มาตรา 226 ว่าด้วยพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบต้องห้ามนำมาใช้

 • พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ มาตรา 100 และ พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด มาตรา 10 กำหนดโทษเพิ่มกรณีผู้กระทำเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ

ดุลพินิจของศาล และเหตุผลในการวินิจฉัย

 • ศาลวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องว่า “จำเลยเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ” นั้น ไม่ได้ทำให้จำเลยเสียเปรียบ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยรู้อยู่แล้ว

 • การใช้สายลับล่อซื้อยาเสพติดมิใช่การชักจูงให้จำเลยกระทำผิดใหม่ แต่เป็นการพิสูจน์ความผิดที่จำเลยได้กระทำอยู่แล้ว

 • ไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิจำเลย หรือแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ

 • ศาลฎีกาจึงเห็นว่าศาลล่างวินิจฉัยถูกต้องในประเด็นความผิด แต่ผิดพลาดที่ไม่ปรับบทโทษให้เหมาะสมตามสถานะของจำเลย จึงแก้ไขบทลงโทษให้สอดคล้องกับกฎหมาย

📌 สรุป:

 • โจทก์สามารถเพิ่มเติมฟ้องในระหว่างการพิจารณา หากไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ

 • การล่อซื้อโดยตำรวจในคดีนี้ชอบด้วยกฎหมาย

 • จำเลยซึ่งเป็นพนักงานของรัฐ ต้องรับโทษหนักขึ้นตามกฎหมายยาเสพติด

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเว็บไซต์

🌐 www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*****************************************

04/7

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยเรื่องเจ้าของรวม และสิทธิในการครอบครอง รวมถึงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57

2. หัวข้อเรื่อง

เจ้าของรวมใช้สิทธิต่อบุคคลภายนอกโดยไม่ขัดสิทธิของเจ้าของรวมอื่น และการร้องสอดของเจ้าของรวม

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา 2662/2550

➤ ข้อเท็จจริง

โจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาท โดยระบุว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกับโจทก์ร่วมอีกสี่คน ต่อมามีการตกลงในการชี้สองสถานให้เจ้าพนักงานรังวัด หากรังวัดแล้วที่ดินตรงตามที่ตกลง จำเลยยินยอมแพ้คดี และหากเกินเนื้อที่ก็ให้ตกเป็นของจำเลย ทั้งนี้ มีการร้องสอดของโจทก์ร่วมทั้งสี่ โดยระบุว่าไม่ได้รับความยินยอมจากตนในการฟ้องคดี

➤ ข้อกฎหมาย

 • ป.พ.พ. มาตรา 1359: เจ้าของรวมคนหนึ่งมีสิทธิใช้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ทั้งแปลงเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอก

 • ป.พ.พ. มาตรา 1360: ห้ามเจ้าของรวมคนหนึ่งทำการใด ๆ อันขัดกับสิทธิของเจ้าของรวมคนอื่น

 • ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) และ (2): การร้องสอดของบุคคลที่อ้างว่าตนมีสิทธิตามกฎหมายหรือมีส่วนได้เสียในผลแห่งคดี

➤ ดุลพินิจของศาล

ศาลวินิจฉัยว่า

 • การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่จำเลยโดยอ้างสิทธิในฐานะเจ้าของรวม เป็นการใช้สิทธิที่ชอบธรรมตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อสิทธิของเจ้าของรวมคนอื่น เพราะเป็นการต่อสู้กับบุคคลภายนอก

 • แม้โจทก์ร่วมทั้งสี่จะอ้างว่าไม่ได้รับการยินยอมให้ฟ้องคดี แต่การที่เจ้าของรวมคนหนึ่งดำเนินคดีเช่นนี้ ไม่ถือว่าขัดสิทธิของเจ้าของรวมคนอื่นตามมาตรา 1360 เพราะไม่ได้กระทบต่อสิทธิในเนื้อที่ดินที่ครอบครองร่วม

 • ส่วนการร้องสอดของโจทก์ร่วมทั้งสี่นั้น ศาลเห็นว่า ไม่ใช่การร้องเพื่อให้ได้รับการรับรองสิทธิที่มีอยู่ แต่เป็นการสมัครใจร้องเข้ามา เนื่องจากเกรงว่าจะได้รับความเสียหาย และมีส่วนได้เสียในผลของคดี จึงอยู่ในบังคับของ ป.วิ.พ. มาตรา 57 (2) ซึ่งถือว่าผูกพันด้วยคำพิพากษาเสมือนเป็นคู่ความแต่ต้น

📌 สรุป

เจ้าของรวมสามารถใช้สิทธิต่อบุคคลภายนอกได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมคนอื่น หากไม่เป็นการขัดต่อสิทธิโดยตรง และการที่เจ้าของรวมอื่นจะร้องสอดเข้ามาเพราะเกรงว่าจะได้รับผลเสียจากผลแห่งคดี ต้องถือว่าเป็นการร้องโดยสมัครใจตามมาตรา 57 (2) และต้องผูกพันตามคำพิพากษาทุกประการ

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ โทร. 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่

🔎 www.สู้คดี.com

🔎 www.ทนายภูวงษ์.com

***********************************

04/8

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายแรงงาน และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยสิทธิเรียกร้องค่าจ้าง (มาตรา 165(9))

2. หัวข้อเรื่อง

คำสั่งเลิกจ้างย้อนหลังโดยอ้างพฤติการณ์ทุจริต ขัดคำสั่งพักงานและคำพิพากษาศาลอาญา

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา 136/2536

✅ ข้อเท็จจริง

 • โจทก์ถูกจำเลย (นายจ้าง) สั่ง “พักงาน” เพื่อรอฟังผลในคดีอาญาที่โจทก์ถูกดำเนินคดี

 • ศาลอาญามีคำพิพากษาว่า “โจทก์ไม่มีความผิด”

 • แต่จำเลยกลับเลิกจ้างโจทก์โดยอ้าง “พฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริต”

 • พร้อมกับให้การเลิกจ้างมีผล ย้อนหลัง ไปตั้งแต่วันที่มีคำสั่งพักงาน

✅ ข้อกฎหมาย

 • การพักงาน เป็นเพียงการระงับการทำงานชั่วคราว ไม่ใช่การสิ้นสุดสัญญาจ้าง

 • เมื่อศาลอาญาตัดสินว่าโจทก์ไม่มีความผิด การกล่าวอ้างพฤติการณ์ทุจริตโดยไม่มีหลักฐานใหม่ ย่อมขัดกับผลคำพิพากษาศาล

 • การออกคำสั่งเลิกจ้างย้อนหลังไปถึงวันพักงาน จึง ขัดกับคำสั่งพักงานเดิมและขัดคำพิพากษาในคดีอาญา

 • โจทก์ยังมีสถานะเป็นลูกจ้างในช่วงเวลาที่พักงาน และการที่ไม่ได้ทำงานก็เพราะจำเลยสั่งพักงาน

 • ไม่มีระเบียบบริษัทใดที่ยกเว้นการจ่ายค่าจ้างในกรณีนี้ จึงต้องจ่ายค่าจ้าง

 • การเรียกร้องเงินเดือนถือเป็น ค่าจ้าง ซึ่งมีกำหนดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 165(9)

✅ ดุลพินิจของศาล

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยในการเลิกจ้างย้อนหลังเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 • การอ้างพฤติการณ์ทุจริตโดยไม่มีมูลใหม่ เป็นการฝ่าฝืนคำพิพากษาศาลอาญา

 • โจทก์มีสิทธิเรียกค่าจ้างย้อนหลังในช่วงที่พักงานได้

 • จำเลยไม่มีสิทธิปฏิเสธการจ่ายเงินเดือนในช่วงพักงานนั้น

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ โทร. 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

************************************

04/9

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

เกี่ยวกับ กฎหมายประกันชีวิตและกฎหมายมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะประกันภัย และ บรรพ 6 ลักษณะมรดก

2. หัวข้อเรื่อง:

กรณีผู้รับประโยชน์ในประกันชีวิตถึงแก่ความตายก่อนผู้เอาประกันภัย เงินประกันตกแก่ใคร

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 821/2554

🔹 ข้อเท็จจริง

 • ผู้ตายได้ทำสัญญาประกันชีวิตไว้กับบริษัทประกันชีวิต

 • ได้ระบุให้ภริยาเป็น “ผู้รับประโยชน์”

 • ต่อมาภริยาผู้ตายถึงแก่ความตายก่อนผู้ตาย

 • เมื่อผู้ตายเสียชีวิต บริษัทประกันชีวิตออกตั๋วแลกเงินโดยระบุชื่อภริยาผู้ตายเป็นผู้รับเงิน

🔹 ข้อกฎหมาย

 • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะประกันภัย มาตรา 897 เป็นต้นไป ว่าด้วยเรื่อง “ผู้รับประโยชน์”

 • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 ลักษณะมรดก ว่าด้วยการตกทอดทรัพย์สินของผู้ตาย

 • หลักเกณฑ์การตีความสิทธิของผู้รับประโยชน์ และผลทางกฎหมายหากผู้รับประโยชน์เสียชีวิตก่อน

🔹 ดุลพินิจของศาลและเหตุผลในการวินิจฉัย

 • ศาลเห็นว่า เงินตามสัญญาประกันชีวิต มิใช่ทรัพย์ที่ผู้ตายมีอยู่ในขณะถึงแก่ความตาย จึงไม่ใช่มรดกของผู้ตาย

 • แม้ผู้ตายจะระบุภริยาเป็นผู้รับประโยชน์ แต่เนื่องจากภริยาได้เสียชีวิตไปก่อนผู้ตาย สิทธิในการได้รับผลประโยชน์จากสัญญาประกันชีวิตจึงยังไม่เกิดขึ้น และไม่ตกเป็นมรดกของภริยาไปสู่ทายาทของภริยา

 • เงินที่บริษัทออกให้ตามตั๋วแลกเงินโดยระบุชื่อภริยา จึง ไม่ตกทอดไปยังทายาทของภริยา

 • อย่างไรก็ตาม แม้เงินนี้จะไม่ใช่มรดกของผู้ตายโดยเคร่งครัด แต่กฎหมายมรดกสามารถนำมาใช้โดยอนุโลมได้ เนื่องจากใกล้เคียงกับลักษณะของทรัพย์ตกทอด

 • ดังนั้น เงินตามตั๋วแลกเงินควรตกแก่ทายาทโดยธรรมของผู้ตาย เสมือนเป็นทรัพย์มรดก

✅ ข้อสรุปสำคัญ

 • หากผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตเสียชีวิตก่อนผู้เอาประกัน สิทธิของผู้รับประโยชน์ยังไม่เกิดขึ้น

 • เงินประกันชีวิต ไม่ตกแก่ทายาทของผู้รับประโยชน์ที่เสียชีวิตไปก่อน

 • เงินดังกล่าว ตกแก่ทายาทโดยธรรมของผู้เอาประกันภัย เสมือนเป็นทรัพย์มรดก

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

**********************************

04/10

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097



1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร


กฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่งเกี่ยวกับสิทธิของผู้ถือหุ้น

โดยเฉพาะประเด็นความผิดฐานยักยอก แจ้งความเท็จ และสิทธิของผู้ถือหุ้นในการฟ้องแทนนิติบุคคลกรณีกรรมการทำผิดต่อนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4), 28(2)



2. หัวข้อเรื่อง


ผู้ถือหุ้นมีสิทธิฟ้องกรรมการบริษัทฐานยักยอก เมื่อกรรมการร่วมกับบุคคลภายนอกทำความผิดต่อนิติบุคคล



3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา


ข้อเท็จจริง

 • บริษัท พ. มีกรรมการหลายคน หนึ่งในนั้นคือโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1-2

 • จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันจัดทำรายงานประชุมเท็จ กล่าวหาว่าโจทก์ที่ 1 ไม่ได้นำเงินมาให้บริษัทกู้ และกล่าวว่าที่ดินพิพาทไม่มีประโยชน์ต่อบริษัทจึงควรขายให้จำเลยที่ 3 (ในราคา 21 ล้านบาท)

 • มีการทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปโอนที่ดินให้จำเลยที่ 3 โดยไม่มีการซื้อขายจริง

 • จำเลยที่ 3 และ 4 ร่วมกันทำรายงานประชุมเท็จเพื่อใช้ในการจดทะเบียนโอนกับเจ้าพนักงานที่ดิน

 • มีการใช้เอกสารและถ้อยคำเท็จต่อเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ จึงมีการจดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารราชการ

 • โจทก์ทั้งสองในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัท พ. จึงได้รับความเสียหาย


ข้อกฎหมายและดุลพินิจของศาล

 • สิทธิฟ้องของผู้ถือหุ้น: ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1169 ผู้ถือหุ้นมีสิทธิฟ้องแทนนิติบุคคลได้เมื่อกรรมการกระทำความผิดและบริษัทไม่ฟ้องเอง ศาลเห็นว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้น จึงเป็น “ผู้เสียหาย” ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2(4) และมีสิทธิฟ้องตามมาตรา 28(2)

 • การยักยอก: เมื่อไม่มีการซื้อขายจริง แต่มีการโอนที่ดินออกไปโดยใช้รายงานประชุมและคำให้การเท็จ การกระทำของจำเลยที่ 3 และ 4 จึงเป็นการยักยอกทรัพย์ของบริษัท

 • ความผิดฐานแจ้งข้อความเท็จ: การให้ถ้อยคำและส่งเอกสารเท็จต่อเจ้าพนักงานเพื่อให้มีการจดข้อความเท็จลงในเอกสารราชการ ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

 • การลงโทษ:

 • ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 3 เรียงกระทงใน 3 ฐาน

 • ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ความผิด 2 ฐานแรกเป็นกรรมเดียวผิดต่อหลายบท (แจ้งข้อความเท็จ+จดข้อความเท็จ)

 • แต่ศาลอุทธรณ์ลงโทษตามฐานยักยอกเพียงบทเดียว ซึ่งชอบแล้ว

 • อย่างไรก็ตาม การที่ศาลอุทธรณ์ไม่แก้โทษตามหลักที่ไม่ให้ลงโทษเรียงกระทงจึงเป็นการไม่ชอบ



บทสรุป:

คำพิพากษานี้เป็นแนวทางสำคัญที่ตอกย้ำว่า หากกรรมการของบริษัทกระทำผิดต่อตัวบริษัทเอง เช่น ยักยอกทรัพย์ หรือหลอกใช้เอกสารเท็จ ผู้ถือหุ้นซึ่งได้รับความเสียหายมีสิทธิฟ้องร้องได้โดยชอบ ไม่จำเป็นต้องรอให้บริษัทฟ้องเอง และการลงโทษต้องพิจารณาว่าเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรมเพื่อไม่ให้ลงโทษซ้ำซ้อน



หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*****************************************

คำพิพากษาฎีกา ชุดที่ 05

ฎีกา 05

1.การตีความสถานะของรถไถนาแบบเดินตามมีกระบะพ่วงว่าเป็นรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์

2.การแย่งใช้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์มือถือโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์

3.กรรมการบริษัทต้องใช้ความเอื้อเฟื้อสอดส่องในการบริหาร มิฉะนั้นต้องรับผิดทางละเมิด

4.การวินิจฉัยความผิดเมื่อกระสุนปืนลั่นโดยประมาทจนผู้อื่นตายและบาดเจ็บ

5.การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยปริยายและผลทางกฎหมายกรณีคืนรถยนต์เช่าซื้อ

6.การเลิกสัญญาจ้างว่าความก่อนคดีถึงที่สุด และผลทางกฎหมายต่อค่าจ้างทนาย

7.ความรับผิดของเจ้าของร่วมในสินสมรสกรณีสุนัขกัดผู้อื่น

8.การกำหนดดอกเบี้ยเป็นรายเดือนในตั๋วสัญญาใช้เงินไม่มีผลผูกพันผู้รับอาวัล

9.การรบกวนการครอบครองโดยปกติสุขแม้เจ้าของทรัพย์จะเป็นผู้กระทำ

10.เขตอำนาจศาลในคดีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

************************************

05/1

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 และ กฎกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2525) ว่าด้วย การตีความว่า “รถไถนาแบบเดินตามมีกระบะพ่วง” เป็นรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์หรือไม่ โดยมีผลกระทบต่อสถานะของรถในการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวกับรถยนต์ เช่น การขึ้นทะเบียน การใช้ทาง การควบคุมความปลอดภัย และอื่นๆ

2. กำหนดหัวข้อเรื่อง

การตีความสถานะของรถไถนาแบบเดินตามมีกระบะพ่วงว่าเป็นรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 6889/2546

ข้อเท็จจริง:

ในคดีนี้ มีประเด็นเกี่ยวกับ รถไถนาแบบเดินตามที่มีกระบะพ่วง ซึ่งดัดแปลงให้ใช้บรรทุกพืชผลทางการเกษตร โดยตัวรถมีล้อ 4 ล้อ (2 ล้อหน้าเป็นของรถไถ และ 2 ล้อหลังเป็นของกระบะพ่วง) ใช้เครื่องยนต์ของรถไถนาแบบเดินตามในการขับเคลื่อน

ข้อกฎหมาย:

 • มาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ. รถยนต์ พ.ศ. 2522 กำหนดคำว่า “รถ” ว่าหมายถึงรถยนต์ และ “รถอื่น” ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

 • กฎกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2525) ข้อ 1 และข้อ 2 ได้ขยายความว่า รถใช้งานเกษตรกรรมถือเป็น “รถ” ตามกฎหมาย โดยมีเงื่อนไข:

 • ผลิตเพื่อใช้งานเกษตรกรรม

 • ใช้เครื่องยนต์ที่มิได้ใช้สำหรับรถยนต์โดยเฉพาะ

 • มีสามล้อหรือสี่ล้อ

 • ขนาดไม่เกินกว้าง 2 เมตร ยาว 6 เมตร

ดุลพินิจของศาลและเหตุผลในการวินิจฉัย:

ศาลฎีกาเห็นว่า รถไถนาแบบเดินตามที่ติดกระบะพ่วง แม้จะดัดแปลงแต่

 • ยังคงใช้เครื่องยนต์ของรถไถนาเอง ไม่ได้ติดตั้งเครื่องยนต์สำหรับรถยนต์

 • มีล้อ 4 ล้อ ขนาดตามเกณฑ์

 • ใช้เพื่อการเกษตร

จึงเข้าองค์ประกอบของ “รถใช้งานเกษตรกรรม” ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 11 และเป็น “รถ” ตามนิยามในมาตรา 4 ของ พ.ร.บ. รถยนต์ พ.ศ. 2522

บทสรุป:

รถไถนาแบบเดินตามที่มีกระบะพ่วงใช้เครื่องยนต์ของตัวรถเอง แม้จะดัดแปลงต่อพ่วงเพื่อบรรทุกของ ก็ยังถือว่าเป็นรถใช้งานเกษตรกรรม และอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ. รถยนต์ พ.ศ. 2522

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเว็บไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

***********************************

05/2

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายอาญา – ความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 และหลักการพิจารณาคดีอาญาเกี่ยวกับการรับฟังพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185, 195, 215, 225

2. กำหนดหัวข้อเรื่อง

การแย่งใช้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์มือถือโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 5354/2539

ข้อเท็จจริง

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำความผิดระหว่างวันที่ 16 กรกฎาคม 2537 ถึงวันที่ 28 ตุลาคม 2537 โดยนำโทรศัพท์มือถือมาปรับจูนและใช้เครื่องดีเลอโค้ดในการก๊อปปี้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์มือถือหมายเลข 9573336 ของบริษัท อ. ซึ่งเป็นระบบเซลลูลาร์ 900 แล้วนำสัญญาณดังกล่าวมาใช้ในการส่งและรับวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหายคิดเป็นมูลค่า 24,733 บาท

ข้อกฎหมายและดุลพินิจของศาล

ประเด็นสำคัญในคดีคือ การที่จำเลยนำคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ของผู้อื่นมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น จะเป็นการลักทรัพย์ตามมาตรา 334 หรือไม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

 • แม้คู่ความไม่ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นฎีกา แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงสามารถยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225

 • การกระทำของจำเลยเป็นเพียง “การแย่งใช้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์” ซึ่งเป็นทรัพยากรสาธารณะที่ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐ

 • คลื่นสัญญาณมิใช่ “ทรัพย์” ตามความหมายแห่งมาตรา 334 ที่บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดลักทรัพย์ของผู้อื่น”

 • ดังนั้น การกระทำของจำเลยแม้จะมีพฤติกรรมทุจริต แต่ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์

 • แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลก็ยังต้องพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากความผิดไม่เข้าองค์ประกอบตามที่กฎหมายกำหนด ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง และมาตรา 215, 225

เหตุผลที่ศาลวินิจฉัยในคดี

ศาลวินิจฉัยโดยแยกแยะข้อเท็จจริงว่าการใช้สัญญาณโทรศัพท์โดยมิชอบ แม้จะทำให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสัญญาณ แต่ไม่ใช่การ “เอาทรัพย์ของผู้อื่นไป” ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของความผิดฐานลักทรัพย์ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดทางอื่นหากมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติไว้ เช่น พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม แต่ไม่ใช่ความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 334

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเวปไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

************************************

05/3

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

เกี่ยวกับความรับผิดของกรรมการบริษัทต่อการละเมิดอันเกิดจากการบริหารงานโดยประมาทเลินเล่อ หรือไม่ใช้ความเอื้อเฟื้อสอดส่องตามที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยเฉพาะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1168

2. กำหนดหัวข้อเรื่อง

กรรมการบริษัทต้องใช้ความเอื้อเฟื้อสอดส่องในการบริหาร มิฉะนั้นต้องรับผิดทางละเมิด

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 2191/2541

ข้อเท็จจริง

จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารโจทก์ต่างวาระกัน โดยมีหน้าที่บริหารและควบคุมกิจการของธนาคารให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย แต่กลับปล่อยปละละเลยให้การปล่อยสินเชื่อและค้ำประกันผิดระเบียบ ไม่ดำเนินการเร่งรัดติดตามหนี้ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคาร

จำเลยที่ 4 แม้มิใช่กรรมการผู้จัดการใหญ่ แต่มีหน้าที่ด้านสินเชื่อ และได้รับรายงานภาระหนี้หลายครั้งกลับไม่สั่งการหรือดำเนินการใด ทำให้ไม่สามารถติดตามหนี้ได้

จำเลยที่ 2, 5, 6, และ 7 เป็นกรรมการของธนาคารในช่วงเวลาต่าง ๆ ซึ่งละเลยไม่เอื้อเฟื้อสอดส่องให้การดำเนินงานของธนาคารเป็นไปโดยถูกต้อง ปล่อยให้มีการอนุมัติสินเชื่อโดยไม่มีหลักประกันหรือหลักประกันไม่คุ้มค่า แม้จะมีการแจ้งเตือนจากธนาคารแห่งประเทศไทยก็ไม่ดำเนินการแก้ไข

ข้อกฎหมายและดุลพินิจของศาล

ศาลฎีกาอธิบายว่า

 • มาตรา 1168 วรรคหนึ่ง ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติให้กรรมการต้องใช้ความระมัดระวังเสมือนผู้ประกอบการค้าอย่างรอบคอบ

 • วรรคสอง เพียงแค่เน้นกรณีที่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง มิใช่จำกัดว่ากรรมการต้องรับผิดเฉพาะ 4 กรณีที่ระบุเท่านั้น

 • การเป็นกรรมการย่อมต้องมีความรู้ในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น กรณีนี้เป็นธนาคารพาณิชย์ กรรมการยิ่งต้องรู้จักการประเมินสินทรัพย์ สินเชื่อ ความเสี่ยง

ศาลพิเคราะห์ว่า กรรมการทุกคนมีหน้าที่ “เอื้อเฟื้อสอดส่อง” และไม่สามารถอ้างว่าตนไม่รับรู้ หรือไม่ปฏิบัติงานประจำ เพื่อปฏิเสธความรับผิดได้ หากละเลยจนเกิดความเสียหายต่อบริษัท ก็ถือว่าเป็นการทำละเมิด

อย่างไรก็ตาม ศาลได้วางหลักไว้ว่า ความรับผิดของกรรมการจำกัดอยู่ในช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งเท่านั้น ไม่อาจให้รับผิดในหนี้สินที่เกิดหลังจากพ้นตำแหน่งได้

เหตุผลของศาล

การที่กรรมการไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของธนาคาร ไม่ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอในการตรวจสอบหรือแก้ไขปัญหาหนี้เสีย ถือเป็นการละเมิดต่อธนาคาร ซึ่งศาลถือว่าเป็นเหตุให้ต้องรับผิดในค่าสินไหมทดแทน

สรุปสาระสำคัญ

 • กรรมการมีหน้าที่ต้องเอื้อเฟื้อสอดส่องดูแลกิจการด้วยความรอบคอบ

 • แม้จะไม่ได้กระทำการใด แต่หากละเลยหน้าที่ก็ถือว่าทำละเมิด

 • กรรมการไม่สามารถอ้างว่าไม่รู้หรือไม่เกี่ยวข้องเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิด

 • อย่างไรก็ตาม กรรมการจะรับผิดเฉพาะในช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งเท่านั้น

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเวปไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

**************************************

05/4

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายอาญา – ความผิดเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกาย, การกระทำโดยประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส

2. กำหนดหัวข้อเรื่อง

การวินิจฉัยความผิดเมื่อกระสุนปืนลั่นโดยประมาทจนผู้อื่นตายและบาดเจ็บ

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 917/2530

ข้อเท็จจริง

จำเลยใช้ด้ามปืนตีศีรษะของนาย ว. ทำให้ศีรษะแตกเลือดไหล ขณะเดียวกันปืนเกิดลั่น กระสุนถูกนาย ด. ถึงแก่ความตาย และนาย ส. ได้รับบาดเจ็บ

ข้อกฎหมายและดุลพินิจของศาล

 • ประเด็นแรก: การใช้ด้ามปืนตีศีรษะ ว.

ศาลเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการทำร้ายร่างกายโดยเจตนา จำเลยจึงมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 (ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ)

 • ประเด็นที่สอง: การที่กระสุนลั่นไปโดน ด. ถึงตาย และ ส. ได้รับบาดเจ็บ

ศาลวินิจฉัยว่า ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาใช้ปืนยิง ว. ดังนั้น การที่กระสุนลั่นไปโดน ด. และ ส. จึงไม่เข้าข่าย “กระทำโดยเจตนาแต่พลาด” ตามมาตรา 60

อย่างไรก็ดี เมื่อพฤติการณ์การใช้ปืนตี ว. อันเป็นการประมาท ซึ่งทำให้กระสุนลั่นจนมีผู้ตายและบาดเจ็บ การกระทำของจำเลยจึงเข้าข่าย

 • มาตรา 291 (กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย)

 • มาตรา 390 (กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส)

 • ดุลพินิจศาล

แม้คำฟ้องของโจทก์จะกล่าวหาว่าจำเลยกระทำโดยเจตนา แต่ศาลพิเคราะห์จากพยานหลักฐานแล้วเห็นว่าจำเลยกระทำโดยประมาท จึงใช้ดุลพินิจตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสาม ซึ่งเปิดช่องให้ศาลลงโทษตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏได้ แม้ไม่ตรงกับข้อหาในคำฟ้อง

เหตุผลที่ศาลวินิจฉัยในคดี

ศาลพิเคราะห์จากพฤติการณ์และพยานหลักฐานแล้ว เห็นว่าการกระทำของจำเลยมีเจตนาเพียงทำร้าย ว. แต่ไม่ได้มีเจตนาใช้ปืนยิง เมื่อปืนลั่นจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ จึงเป็นผลจากความประมาท ไม่ใช่การกระทำโดยเจตนา และสามารถลงโทษตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏได้แม้ไม่ตรงกับที่โจทก์ฟ้อง

บทสรุป

จำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา 295 และกระทำโดยประมาทจนทำให้มีผู้เสียชีวิต (มาตรา 291) และบาดเจ็บสาหัส (มาตรา 390) โดยไม่ต้องยึดถือเฉพาะข้อกล่าวหาเดิมที่โจทก์ฟ้องไว้ว่าเป็นการกระทำโดยเจตนา

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเวปไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

****************************************

05/5

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายเกี่ยวกับ สัญญาเช่าซื้อ และ การบอกเลิกสัญญาโดยปริยาย รวมถึงหลักวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยอำนาจของศาลฎีกาในการยกข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยเอง

2. หัวข้อเรื่อง:

การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยปริยายและผลทางกฎหมายกรณีคืนรถยนต์เช่าซื้อ

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 2330/2558

ข้อเท็จจริง:

 • โจทก์เป็นผู้ให้เช่าซื้อรถยนต์แก่จำเลยที่ 1

 • จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อในงวดที่ 2

 • ตามสัญญาข้อ 12 โจทก์มีสิทธิยึดรถหรือบอกเลิกสัญญาได้ทันทีหากผิดนัด

 • แต่โจทก์กลับรับชำระเงินในงวดที่ 3 และ 4 หลังจากที่จำเลยผิดนัด

 • ต่อมา มีการยึดรถคืนโดย ช. ผู้รับจ้างของโจทก์ โดยไม่มีการโต้แย้งจากจำเลย

 • ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันชำระเงิน 50,987.20 บาท

 • ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ชำระ 260,987.20 บาท

 • จำเลยทั้งสี่ยื่นฎีกา ขอให้พิพากษาตามศาลชั้นต้น

ข้อกฎหมายและดุลพินิจของศาล:

 • สัญญาข้อ 12 ที่ให้สิทธิโจทก์บอกเลิกสัญญาทันทีเมื่อมีการผิดนัดนั้น ไม่สามารถใช้ได้ หากโจทก์ยังคงรับชำระเงินในงวดหลังจากผิดนัด เท่ากับ สละสิทธิบอกเลิกสัญญา

 • แม้โจทก์จะออกหนังสือแจ้งให้ชำระหนี้ ก็ ไม่ถือว่าเป็นหนังสือบอกเลิกสัญญา

 • เมื่อไม่มีการบอกเลิกสัญญาโดยชัดแจ้ง แต่มีการยึดรถโดยไม่มีการโต้แย้งจากจำเลย ศาลถือว่าเป็นการ เลิกสัญญาโดยปริยาย ด้วยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย

 • เมื่อสัญญาเลิกกันโดยปริยายแล้ว โจทก์จึง ไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดส่วนของราคาทรัพย์ ตามข้อ 15 ของสัญญาอีกต่อไป เพราะสิทธิตามสัญญาได้ระงับไปแล้ว

 • แม้จำเลยไม่ได้ยกข้อนี้ขึ้นฎีกา แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงมีอำนาจวินิจฉัยเองได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)

 • ในเรื่องค่าธรรมเนียมศาล จำเลยทั้งสี่ชำระตามทุนทรัพย์ 260,987.20 บาท แต่ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยชำระเพียง 50,987.20 บาท จึงต้อง คืนค่าขึ้นศาลส่วนเกิน ให้จำเลย

เหตุผลที่ศาลวินิจฉัย:

ศาลเห็นว่าเมื่อโจทก์รับเงินงวดถัดไปหลังผิดนัด แสดงถึงการยอมรับว่าการผิดนัดไม่เป็นเหตุให้บอกเลิกสัญญาทันที อีกทั้งการยึดรถคืนโดยไม่มีการโต้แย้งจากจำเลยแสดงถึงความสมัครใจของทั้งสองฝ่ายในการเลิกสัญญาโดยปริยาย ทำให้สิทธิเรียกร้องตามข้อสัญญาเรื่องค่าขาดราคาหมดไป

บทสรุป:

การยึดรถคืนโดยไม่โต้แย้งภายหลังจากมีการผิดนัดและรับเงินในงวดต่อมา แสดงถึงการเลิกสัญญาโดยปริยาย ศาลจึงไม่อนุญาตให้โจทก์เรียกร้องค่าขาดส่วนต่างของราคาอีกต่อไป

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเวปไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

***************************************

05/6

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

คดีนี้เกี่ยวข้องกับ สัญญาจ้างว่าความ ซึ่งจัดเป็น สัญญาจ้างทำของ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 และมีประเด็นเรื่องการเลิกสัญญาก่อนงานแล้วเสร็จ รวมถึงการเรียกค่าจ้างหรือค่าสินไหมทดแทน

2. กำหนดหัวข้อเรื่อง

การเลิกสัญญาจ้างว่าความก่อนคดีถึงที่สุด และผลทางกฎหมายต่อค่าจ้างทนาย

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 6675/2541

ข้อเท็จจริง

 • โจทก์เป็นทนายความได้รับการว่าจ้างจากจำเลยให้ดำเนินคดีตามสัญญาจ้างว่าความ

 • ต่อมาจำเลยเลิกสัญญาและถอนโจทก์ออกจากการเป็นทนายก่อนที่คดีจะถึงที่สุด

 • มีข้อสัญญากำหนดว่า หากผู้ว่าจ้างเลิกสัญญาก่อนเวลา ผู้ว่าจ้างยังต้องชำระค่าจ้างเต็มจำนวนตามสัญญา

ข้อกฎหมายและดุลพินิจของศาล

 • ศาลพิจารณาว่า สัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของ โดยพิจารณาผลสำเร็จของงาน เช่น การดำเนินคดีจนถึงที่สุด

 • การระบุให้ต้องจ่ายค่าจ้างเต็มจำนวนแม้เลิกสัญญาก่อน ถือเป็นข้อตกลงที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้ห้ามถอนทนายเพียงแต่มีเงื่อนไขให้จ่ายเต็ม

 • อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่า เมื่อผู้ว่าจ้างเลิกสัญญาในระหว่างงานยังไม่เสร็จ ย่อมถือว่าใช้สิทธิเลิกสัญญาตาม มาตรา 605 ได้โดยชอบ เพราะเป็นเจ้าของคดี มีสิทธิไม่ไว้วางใจทนายได้

 • แต่ต้องชดใช้ค่าแห่งการงานที่ทนายได้กระทำไปแล้ว ตาม มาตรา 391 วรรคสาม

 • นอกจากนี้ หากมีความเสียหายจากการเลิกสัญญาก่อนเวลา เช่น โจทก์เสียประโยชน์อื่นใด อาจเรียก ค่าสินไหมทดแทน ได้ด้วย

 • ศาลเห็นว่า จำนวนเงินค่าจ้างตามสัญญาทั้งหมดไม่ใช่ค่าจ้างที่เกิดขึ้นจริง แต่อาจเป็นเบี้ยปรับหรือค่าสินไหมล่วงหน้า ซึ่งศาลมีอำนาจลดได้ ตาม มาตรา 383

 • ศาลจะพิจารณาค่าแห่งการงานที่ทนายได้ทำไปจริงตามความเหมาะสมเป็นรายกรณี โดยอิงหลักความเป็นธรรม

 • เนื่องจากจำนวนเงินค่าจ้างที่แท้จริงยังไม่แน่นอนก่อนฟ้อง โจทก์จึง ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามสัญญา แต่สามารถ เรียกดอกเบี้ยตามกฎหมายร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป

เหตุผลที่ศาลวินิจฉัย

 • เพื่อรักษาสมดุลระหว่างสิทธิของผู้ว่าจ้างในการเลิกจ้าง และสิทธิของผู้รับจ้าง (ทนายความ) ที่ได้ทำงานบางส่วนไปแล้ว

 • ค่าจ้างต้องสัมพันธ์กับการงานที่ได้กระทำจริงและไม่ใช่เงื่อนไขที่เอาเปรียบหรือเป็นเบี้ยปรับเกินสมควร

 • ศาลใช้ดุลพินิจเพื่อกำหนดค่าแห่งการงานตามหลักความเป็นธรรมและข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดี

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเวปไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

**************************************

05/7

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายเกี่ยวกับ ความรับผิดในละเมิดจากการเลี้ยงดูสัตว์, การเป็นเจ้าของร่วมในสินสมรส และความรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

2. กำหนดหัวข้อเรื่อง

ความรับผิดของเจ้าของร่วมในสินสมรสกรณีสุนัขกัดผู้อื่น

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 2488/2523

ข้อเท็จจริง

 • โจทก์ถูกสุนัขกัด สุนัขดังกล่าวออกจากบ้านของจำเลย

 • ภริยาของจำเลยยอมรับว่าเป็นเจ้าของสุนัข

 • สุนัขออกจากบ้านได้ในขณะที่จำเลยเปิดประตู

 • สุนัขไปกัดโจทก์นอกรั้วบ้าน

ข้อกฎหมายและดุลพินิจของศาล

 • ประเด็นสำคัญคือ “ใครเป็นเจ้าของสุนัข” และ “จำเลยมีความประมาทในการเลี้ยงดูสัตว์หรือไม่”

 • เมื่อภริยาของจำเลยรับว่าเป็นเจ้าของสุนัข และไม่มีพยานหลักฐานแสดงว่าเป็นสินส่วนตัว

ศาลจึงสันนิษฐานว่าสุนัขเป็น สินสมรส ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474

ซึ่งระบุว่าสินสมรสหมายถึงทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรส

ดังนั้นจำเลยจึงมีฐานะเป็นเจ้าของร่วมกับภริยา

 • การที่จำเลยเปิดประตูจนสุนัขหลบหนีออกไปได้และไปกัดโจทก์

ศาลเห็นว่า จำเลย มิได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรในการควบคุมสัตว์เลี้ยง

จึงมีความรับผิดตาม หลักละเมิด ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

 • ความเสียหายรวมถึง ค่าทดแทนความตกใจและความทุกข์ทรมาน ของโจทก์ด้วย

เหตุผลในการวินิจฉัยของศาล

 • เมื่อไม่มีพยานหลักฐานหักล้างว่าเป็นสินส่วนตัว ต้องถือว่าสุนัขเป็นสินสมรส

 • การที่จำเลยเปิดประตูทำให้สุนัขออกไปกัดผู้อื่น ถือเป็นการประมาทเลินเล่อ

 • ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 433 เจ้าของสัตว์ต้องรับผิดในความเสียหายที่สัตว์ก่อขึ้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าใช้ความระมัดระวังแล้ว ซึ่งจำเลยพิสูจน์ไม่ได้

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้

ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเว็บไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*************************************

05/8

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายว่าด้วยตั๋วเงินและตั๋วสัญญาใช้เงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 21 รวมถึงเรื่องสิทธิของผู้รับโอนและการสลักหลังตาม มาตรา 899, 911, 920, และ 968

2. หัวข้อเรื่อง

การกำหนดดอกเบี้ยเป็นรายเดือนในตั๋วสัญญาใช้เงินไม่มีผลผูกพันผู้รับอาวัล

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 5258/2554

ข้อเท็จจริง

โจทก์ได้รับโอนตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีการระบุให้คิดดอกเบี้ยเป็น “รายเดือน” มาก่อนถึงกำหนดใช้เงิน และฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับอาวัลให้รับผิดชำระเงินค่าตั๋วรวมถึงดอกเบี้ยรายเดือนตามที่ระบุไว้ในตั๋ว แต่จำเลยที่ 2 ปฏิเสธความรับผิดเฉพาะส่วนของดอกเบี้ยรายเดือน

ข้อกฎหมายและดุลพินิจของศาล

 1. ลักษณะของตั๋วสัญญาใช้เงิน

ศาลเห็นว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นตราสารเปลี่ยนมือที่โอนโดยการสลักหลังและส่งมอบ ผู้รับโอนสามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ออกตั๋วหรือผู้รับอาวัล โดยเรียกเอา “จำนวนเงินในตั๋ว” และดอกเบี้ยที่กฎหมายบัญญัติเท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 920 วรรคหนึ่ง และ มาตรา 968 (1)

 2. การคิดดอกเบี้ยก่อนถึงกำหนดใช้เงิน

กรณีที่ตั๋วระบุให้คิดดอกเบี้ยก่อนครบกำหนดใช้เงิน ถือเป็นดอกเบี้ยที่รวมอยู่ในยอดเงินที่ผู้ออกตั๋วและผู้รับอาวัลต้องรับผิดตาม มาตรา 911

 3. ความชอบด้วยกฎหมายของข้อความในตั๋ว

แต่เมื่อระบุว่าให้จ่ายดอกเบี้ย “เป็นรายเดือน” ศาลวินิจฉัยว่าเป็นการเพิ่มข้อความที่ มิได้บัญญัติไว้ในลักษณะ 21 เรื่องตั๋วเงิน ของ ป.พ.พ. ซึ่งตามมาตรา 899 ข้อความเช่นนี้ ย่อมไม่มีผล ต่อความรับผิดตามตั๋วเงินนั้น

เหตุผลที่ศาลวินิจฉัย

การกำหนดให้จ่ายดอกเบี้ยเป็นรายเดือนในตั๋วสัญญาใช้เงินถือเป็นการเปลี่ยนลักษณะความรับผิดในตั๋วเงิน ซึ่งขัดต่อหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ในเรื่องตั๋วเงิน ตั๋วเงินจะต้องมีความแน่นอน (certainty) ของจำนวนเงินที่ใช้เรียกร้องได้ ดังนั้น การเพิ่มเงื่อนไขเช่นนี้ถือว่าไม่มีผลในทางกฎหมาย ผู้รับอาวัลจึงไม่ต้องรับผิดในส่วนดอกเบี้ยรายเดือน

สรุป

โจทก์ไม่สามารถเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับอาวัลชำระ “ดอกเบี้ยรายเดือน” ได้ เพราะข้อความดังกล่าวถือว่า ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายตั๋วเงิน ซึ่งกำหนดให้ต้องรับผิดเฉพาะจำนวนเงินในตั๋วและดอกเบี้ยตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเวปไซต์

www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*****************************************

05/9

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ว่าด้วยความผิดฐานรบกวนการครอบครองโดยปกติสุข

2. หัวข้อเรื่อง

การรบกวนการครอบครองโดยปกติสุขแม้เจ้าของทรัพย์จะเป็นผู้กระทำ

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 1/2512

ข้อเท็จจริง

 • ห้องพิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่จำเลยเป็นเจ้าของ

 • โจทก์ยังคงครอบครองห้องดังกล่าวอยู่ และอ้างสิทธิ์ครอบครองตามสัญญาเช่า

 • จำเลยกระทำการโดยใช้ไม้กระดานตีขวางทับประตูห้องในขณะที่โจทก์ไม่อยู่

 • ผลคือ โจทก์ไม่สามารถเข้าใช้ห้องได้ตามปกติ

ข้อกฎหมาย

 • ประเด็นสำคัญคือ การครอบครองโดยปกติสุขของโจทก์ แม้ไม่ใช่เจ้าของ

 • มาตรา 362 แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติว่า

“ผู้ใดเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นซึ่งผู้นั้นครอบครองอยู่โดยสงบและเปิดเผย เพื่อจะทำให้เสียการครอบครอง หรือรบกวนการครอบครองนั้น ต้องระวางโทษ…”

ดุลพินิจของศาล

 • แม้จำเลยจะเป็นเจ้าของห้องพิพาท แต่การที่โจทก์ยังครอบครองอยู่โดยสงบและอ้างสิทธิ์ตามสัญญาเช่า ถือว่าเป็นผู้ครอบครองโดยชอบ

 • การที่จำเลยใช้ไม้ขวางประตูในขณะที่โจทก์ไม่อยู่ และทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าใช้ห้องได้ ถือเป็นการกระทำที่ล่วงล้ำสิทธิของผู้ครอบครอง

 • ศาลจึงวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 362 ฐานรบกวนการครอบครองโดยปกติสุข

เหตุผลที่ศาลวินิจฉัยในคดีนี้

ศาลยึดหลักว่าการครอบครองโดยสงบ ย่อมได้รับความคุ้มครอง แม้ผู้ครอบครองจะมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์โดยตรงก็ตาม การล่วงล้ำหรือขัดขวางการใช้สิทธิของผู้ครอบครองเช่นนี้ ถือว่าเป็นการรบกวนการครอบครองที่ผิดกฎหมาย

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเวปไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

**************************************

05/9

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ว่าด้วยความผิดฐานรบกวนการครอบครองโดยปกติสุข

2. หัวข้อเรื่อง

การรบกวนการครอบครองโดยปกติสุขแม้เจ้าของทรัพย์จะเป็นผู้กระทำ

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 1/2512

ข้อเท็จจริง

 • ห้องพิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่จำเลยเป็นเจ้าของ

 • โจทก์ยังคงครอบครองห้องดังกล่าวอยู่ และอ้างสิทธิ์ครอบครองตามสัญญาเช่า

 • จำเลยกระทำการโดยใช้ไม้กระดานตีขวางทับประตูห้องในขณะที่โจทก์ไม่อยู่

 • ผลคือ โจทก์ไม่สามารถเข้าใช้ห้องได้ตามปกติ

ข้อกฎหมาย

 • ประเด็นสำคัญคือ การครอบครองโดยปกติสุขของโจทก์ แม้ไม่ใช่เจ้าของ

 • มาตรา 362 แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติว่า

“ผู้ใดเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นซึ่งผู้นั้นครอบครองอยู่โดยสงบและเปิดเผย เพื่อจะทำให้เสียการครอบครอง หรือรบกวนการครอบครองนั้น ต้องระวางโทษ…”

ดุลพินิจของศาล

 • แม้จำเลยจะเป็นเจ้าของห้องพิพาท แต่การที่โจทก์ยังครอบครองอยู่โดยสงบและอ้างสิทธิ์ตามสัญญาเช่า ถือว่าเป็นผู้ครอบครองโดยชอบ

 • การที่จำเลยใช้ไม้ขวางประตูในขณะที่โจทก์ไม่อยู่ และทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าใช้ห้องได้ ถือเป็นการกระทำที่ล่วงล้ำสิทธิของผู้ครอบครอง

 • ศาลจึงวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 362 ฐานรบกวนการครอบครองโดยปกติสุข

เหตุผลที่ศาลวินิจฉัยในคดีนี้

ศาลยึดหลักว่าการครอบครองโดยสงบ ย่อมได้รับความคุ้มครอง แม้ผู้ครอบครองจะมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์โดยตรงก็ตาม การล่วงล้ำหรือขัดขวางการใช้สิทธิของผู้ครอบครองเช่นนี้ ถือว่าเป็นการรบกวนการครอบครองที่ผิดกฎหมาย

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเวปไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

**************************************

คำพิพากษาฎีกา ชุดที่ 06

ฎีกา 06

1.เขตอำนาจศาลในคดีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

2.ฉ้อโกงโดยแสดงท่าทีข่มขู่กรณีใช้วัตถุคล้ายลูกระเบิดแทนเงินค่าน้ำมัน

3.ขู่เข็ญด้วยอาวุธปืนบนทางสาธารณะ เป็นละเมิด แม้ไม่ยิงปืนก็ตาม

4.การรบกวนการครอบครองโดยปกติสุขแม้เจ้าของทรัพย์จะเป็นผู้กระทำ

5. การลักสัญญาณโทรศัพท์จากตู้โทรศัพท์สาธารณะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์

6.ข้อยกเว้นในการฟ้องคดีภาษีอากรภายหลังอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์

7.การคิดเบี้ยปรับตามสัญญาให้บริการและการสะดุดหยุดลงของอายุความ

8.การฟ้องเรียกคืนเงินจากลาภมิควรได้และประเด็นอายุความในกรณีหลงผิด

9.การอายัดเงินปันผลและเงินอื่นของสมาชิกสหกรณ์

10.หนังสือมอบอำนาจที่ไม่ขีดฆ่าอากรแสตมป์ ใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้

**************************************

06/1

หัวข้อเรื่อง: เขตอำนาจศาลในคดีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

วิเคราะห์ฎีกาที่ 2154/2518

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

คดีนี้เกี่ยวข้องกับ กฎหมายอาญา ความผิดฐาน หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และ กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22 เรื่องเขตอำนาจศาล และมาตรา 158(5) ว่าด้วยการบรรยายฟ้อง

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาเลขที่ 2154/2518

แยกข้อเท็จจริง

โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กล่าวหาว่าข้อความหมิ่นประมาทปรากฏในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร แต่หนังสือพิมพ์ดังกล่าวมีการจำหน่ายทั่วราชอาณาจักร รวมทั้งจังหวัดเชียงใหม่

แยกข้อกฎหมายและดุลพินิจของศาล

 • ปัญหาข้อกฎหมาย อยู่ที่ว่า ศาลแขวงเชียงใหม่มีเขตอำนาจรับฟ้องหรือไม่ เมื่อข้อความหมิ่นประมาทเกิดจากการโฆษณาผ่านหนังสือพิมพ์ที่จำหน่ายทั่วประเทศ

 • ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ย่อมเกิดขึ้นในสถานที่ที่ข้อความนั้นปรากฏ ดังนั้น เมื่อหนังสือพิมพ์จำหน่ายในจังหวัดเชียงใหม่ด้วย ก็ถือว่า ความผิดได้เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่

 • ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 22 การฟ้องร้องสามารถทำได้ที่ศาลซึ่งท้องที่นั้นเกิดการกระทำความผิด

 • ศาลยังวินิจฉัยว่า คำฟ้องที่โจทก์บรรยายสถานที่เกิดเหตุว่า “ทั่วราชอาณาจักรไทย” และระบุว่าสำนักงานหนังสือพิมพ์อยู่ที่กรุงเทพมหานครนั้น เป็นการบรรยายสถานที่เกิดเหตุอย่างเพียงพอและชอบด้วย มาตรา 158(5) ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพราะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้

สรุปเหตุผลที่ศาลวินิจฉัย

ศาลฎีกาเห็นว่า แม้การพิมพ์หนังสือพิมพ์จะเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ แต่การที่มีจำหน่ายและข้อความหมิ่นประมาทปรากฏในจังหวัดเชียงใหม่ ย่อมถือว่าความผิดได้เกิดขึ้นในเชียงใหม่ด้วย โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องต่อศาลแขวงเชียงใหม่ และศาลมีหน้าที่ดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องต่อไป

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเวปไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

***************************************

06/2

หัวข้อ : ฉ้อโกงโดยแสดงท่าทีข่มขู่กรณีใช้วัตถุคล้ายลูกระเบิดแทนเงินค่าน้ำมัน

วิเคราะห์ฎีกาที่ 2581/2529

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

คดีนี้เกี่ยวข้องกับ ความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และพิจารณาว่าเข้าข่าย ลักทรัพย์ หรือ ปล้นทรัพย์ หรือไม่ โดยมีการพิจารณาพฤติกรรมในการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและหลอกลวงเพื่อให้ได้ทรัพย์สินไป

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาเลขที่ 2581/2529

ข้อเท็จจริง

จำเลยทั้งสองขี่รถจักรยานยนต์ซ้อนกันเข้าไปเติมน้ำมันเบนซินที่บ้านของผู้เสียหายจำนวน 5 ลิตร เมื่อเติมน้ำมันเสร็จแล้ว ภริยาของผู้เสียหายได้ทวงถามเงินค่าน้ำมัน จำเลยที่ 2 ซึ่งถือลูกกลมๆ ลักษณะคล้ายลูกระเบิดไว้ในมือ กล่าวกับภริยาผู้เสียหายว่า “ไม่มีเงิน มีไอ้นี่เอาไหม” จากนั้นจำเลยทั้งสองได้ขี่รถจักรยานยนต์ออกไป โดยไม่ได้จ่ายค่าน้ำมัน

ข้อกฎหมายและดุลพินิจของศาล

 • ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่จำเลยกระทำลักษณะดังกล่าว เป็นการ แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริง โดยให้เข้าใจว่าอาจมีอันตราย หากไม่ยอมให้จำเลยไปโดยไม่จ่ายเงิน

 • อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการใช้กำลังประทุษร้ายหรือข่มขืนใจ อย่างชัดเจนจนถึงขั้นปล้นทรัพย์ และไม่มีการลักเอาทรัพย์โดยเจ้าของไม่รู้ตัวหรือขัดขืน

 • พฤติกรรมจำเลยมีเจตนาแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยหลอกลวงให้เข้าใจผิด เพื่อให้ได้ใช้น้ำมันโดยไม่จ่ายเงิน ซึ่งเข้าลักษณะ ความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341

 • ส่วนวัตถุที่จำเลยถืออยู่ แม้ภริยาผู้เสียหายจะเข้าใจว่าเป็นลูกระเบิด แต่ ศาลเห็นว่าไม่สามารถฟังได้อย่างแน่ชัดว่าเป็นอาวุธจริงหรือมีการขู่เข็ญจริง จึงไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์

สรุป

จำเลยมีความผิดฐาน ฉ้อโกง เพราะใช้กลอุบายในการแสดงท่าทีว่าถือของอันตรายแทนเงิน และไม่จ่ายค่าน้ำมัน เป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่ลักทรัพย์หรือปล้นทรัพย์ เนื่องจากไม่มีการข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเวปไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

****************************************

06/3

หัวข้อ: ขู่เข็ญด้วยอาวุธปืนบนทางสาธารณะ เป็นละเมิด แม้ไม่ยิงปืนก็ตาม

วิเคราะห์ฎีกาที่ 4571/2556

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

คดีนี้เกี่ยวกับกฎหมายแพ่งว่าด้วย การกระทำละเมิด ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และมาตรา 446 ที่กล่าวถึงความเสียหายทางจิตใจ และสิทธิในการเรียกค่าสินไหมทดแทน รวมถึงความสัมพันธ์กับคดีอาญาที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้เข้าเป็น โจทก์ร่วม ในคดีอาญาด้วย

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาเลขที่ 4571/2556

ข้อเท็จจริง

 • คดีนี้มีรากฐานมาจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1027/2552 ของศาลชั้นต้น

 • โจทก์ในคดีนี้เป็น ผู้เสียหาย และได้รับอนุญาตจากศาลให้เข้าเป็น โจทก์ร่วม ในคดีอาญาดังกล่าว

 • จำเลยในคดีนี้มีปากเสียงกับโจทก์ แล้วได้ ถืออาวุธปืนออกมา บนทางเดินเท้าสาธารณะ ติดกับถนนสาธารณะ

 • จำเลย พูดขู่เข็ญ ว่า “มึงอยากตายหรือ” ซึ่งจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงนี้ด้วย

ข้อกฎหมายและดุลพินิจของศาล

 • ศาลเห็นว่าแม้จำเลยจะ มิได้ยิงปืน แต่การข่มขู่ด้วยอาวุธปืน โดยเฉพาะในสถานที่สาธารณะ ย่อมแสดงถึง เจตนาโดยตรง ที่จะทำให้ผู้ถูกขู่ได้รับความหวาดกลัว

 • การกระทำนี้ทำให้โจทก์ ตกใจกลัวอย่างมาก จนส่งผลกระทบต่อจิตใจและสุขภาพจิต ถือเป็นความเสียหายตาม มาตรา 446 ซึ่งครอบคลุมถึงความเสียหายทางจิตใจ แม้ไม่มีการบาดเจ็บทางกายก็ตาม

 • ศาลชี้ว่าเป็นการ กระทำละเมิด ตาม มาตรา 420 และโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ตาม มาตรา 446

 • โจทก์ถือเป็น ผู้เสียหายโดยนิตินัย แม้ไม่มีการยิงปืนหรือได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย แต่การข่มขู่ที่ทำให้เกิดความเสียหายทางจิตใจก็ถือเป็นมูลเหตุให้สามารถเรียกค่าสินไหมได้

สรุป

การที่จำเลยใช้ อาวุธปืนข่มขู่ ผู้เสียหาย แม้ไม่ได้ยิงหรือทำให้บาดเจ็บทางกาย ก็ถือว่า ละเมิด เพราะทำให้เกิด ความเสียหายทางจิตใจ ซึ่งผู้เสียหายมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนตามกฎหมายแพ่งได้ ศาลถือว่าโจทก์เป็น ผู้เสียหายโดยชอบด้วยกฎหมาย และพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายตามสมควร

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*************************************

06/4

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ว่าด้วยความผิดฐานรบกวนการครอบครองโดยปกติสุข

2. หัวข้อเรื่อง

การรบกวนการครอบครองโดยปกติสุขแม้เจ้าของทรัพย์จะเป็นผู้กระทำ

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 1/2512

ข้อเท็จจริง

 • ห้องพิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่จำเลยเป็นเจ้าของ

 • โจทก์ยังคงครอบครองห้องดังกล่าวอยู่ และอ้างสิทธิ์ครอบครองตามสัญญาเช่า

 • จำเลยกระทำการโดยใช้ไม้กระดานตีขวางทับประตูห้องในขณะที่โจทก์ไม่อยู่

 • ผลคือ โจทก์ไม่สามารถเข้าใช้ห้องได้ตามปกติ

ข้อกฎหมาย

 • ประเด็นสำคัญคือ การครอบครองโดยปกติสุขของโจทก์ แม้ไม่ใช่เจ้าของ

 • มาตรา 362 แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติว่า

“ผู้ใดเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นซึ่งผู้นั้นครอบครองอยู่โดยสงบและเปิดเผย เพื่อจะทำให้เสียการครอบครอง หรือรบกวนการครอบครองนั้น ต้องระวางโทษ…”

ดุลพินิจของศาล

 • แม้จำเลยจะเป็นเจ้าของห้องพิพาท แต่การที่โจทก์ยังครอบครองอยู่โดยสงบและอ้างสิทธิ์ตามสัญญาเช่า ถือว่าเป็นผู้ครอบครองโดยชอบ

 • การที่จำเลยใช้ไม้ขวางประตูในขณะที่โจทก์ไม่อยู่ และทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าใช้ห้องได้ ถือเป็นการกระทำที่ล่วงล้ำสิทธิของผู้ครอบครอง

 • ศาลจึงวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 362 ฐานรบกวนการครอบครองโดยปกติสุข

เหตุผลที่ศาลวินิจฉัยในคดีนี้

ศาลยึดหลักว่าการครอบครองโดยสงบ ย่อมได้รับความคุ้มครอง แม้ผู้ครอบครองจะมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์โดยตรงก็ตาม การล่วงล้ำหรือขัดขวางการใช้สิทธิของผู้ครอบครองเช่นนี้ ถือว่าเป็นการรบกวนการครอบครองที่ผิดกฎหมาย

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเวปไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*****************************************

06/5

หัวข้อเรื่อง: การลักสัญญาณโทรศัพท์จากตู้โทรศัพท์สาธารณะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์

วิเคราะห์ฎีกาที่ 1880/2542

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

คดีนี้เกี่ยวข้องกับความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 และการตีความเกี่ยวกับการลักสัญญาณโทรศัพท์ว่าเข้าข่ายลักทรัพย์หรือไม่ โดยมีการพิจารณาร่วมกับ มาตรา 335 และหลักการพิจารณาคดีในชั้นฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาเลขที่ 1880/2542

ข้อเท็จจริง

จำเลยลักลอบใช้สัญญาณโทรศัพท์จากตู้โทรศัพท์สาธารณะที่อยู่ในความครอบครองขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย โดยไม่ได้รับอนุญาต และนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต

ข้อกฎหมาย

ศาลต้องวินิจฉัยว่าการลัก “สัญญาณโทรศัพท์” ซึ่งเป็นกระแสไฟฟ้าที่แปลงมาจากเสียงพูดและเคลื่อนที่ไปตามสายลวดนั้น จะถือเป็น “ทรัพย์” ตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 หรือไม่

ดุลพินิจของศาล

ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ “สัญญาณโทรศัพท์” จะเป็นเพียงกระแสไฟฟ้า แต่ก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ มีมูลค่าในทางเศรษฐกิจ และอยู่ในความครอบครองของผู้อื่น (องค์การโทรศัพท์) เมื่อจำเลยนำไปใช้โดยทุจริต จึงถือเป็นการลักทรัพย์โดยชอบด้วยบทบัญญัติของ มาตรา 334 เช่นเดียวกับการลักกระแสไฟฟ้า ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นทรัพย์อย่างหนึ่ง

นอกจากนี้ แม้จำเลยจะเพิ่งยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นอ้างในชั้นฎีกา แต่เมื่อเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยได้ตาม มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

เหตุผลในการวินิจฉัย

การตีความคำว่า “ทรัพย์” ตามมาตรา 334 ต้องเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินของผู้อื่น แม้สัญญาณโทรศัพท์จะเป็นเพียงกระแสไฟฟ้า แต่มีมูลค่าและใช้ประโยชน์ได้จริง การนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจึงเป็นการลักทรัพย์อย่างชัดแจ้ง

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเวปไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*********************************************

06/6

หัวข้อ: ข้อยกเว้นในการฟ้องคดีภาษีอากรภายหลังอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์

วิเคราะห์ฎีกาที่ 128/2547

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

คดีนี้เกี่ยวข้องกับกฎหมายภาษีอากร โดยเฉพาะ พระราชบัญญัติรัษฎากร มาตรา 30 (2), มาตรา 65 ทวิ (4), มาตรา 91/16 (6) และคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.26/2534 โดยมุ่งเน้นเรื่อง ภาษีธุรกิจเฉพาะ และ ดอกเบี้ยจากการให้กู้ยืมเงิน

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาเลขที่ 128/2547

ข้อเท็จจริง:

โจทก์เป็นบริษัทที่ให้กู้ยืมเงินแก่บริษัทในเครือและกรรมการหลายราย โดยไม่คิดดอกเบี้ย ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินภาษีได้ประเมินดอกเบี้ยจากเงินกู้ดังกล่าวให้เป็นรายได้ตามราคาตลาด และเรียกเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์เฉพาะในส่วนของดอกเบี้ยที่ให้บริษัทในเครือกู้เท่านั้น มิได้อุทธรณ์กรณีกรรมการที่กู้เงิน

ข้อกฎหมาย:

 1. ป.รัษฎากร มาตรา 30 (2) ว่าด้วยสิทธิในการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ต่อศาล

 2. มาตรา 65 ทวิ (4) ว่าด้วยกรณีรายรับจากดอกเบี้ยเงินกู้ยืม

 3. มาตรา 91/16 (6) เกี่ยวกับรายได้ที่ถือว่ามีการรับแล้วแม้ไม่ได้รับเงินจริง

 4. คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.26/2534 เกี่ยวกับการยกเว้นภาษีเมื่อบริษัทเป็น “บริษัทในเครือเดียวกัน”

ดุลพินิจของศาลและเหตุผลที่ศาลวินิจฉัยในคดีนี้:

 • ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โดยหลักทั่วไปผู้ฟ้องสามารถอ้างเหตุเพิ่มเติมต่อศาลได้ตามมาตรา 30 (2) แต่ ในประเด็นที่โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ไว้เลย เช่น กรณีกรรมการที่กู้เงิน ศาลถือว่า เป็นเรื่องที่ไม่สามารถยกขึ้นฟ้องในภายหลังได้ ถือว่าโจทก์ยอมรับความถูกต้องของการประเมินภาษีแล้ว

 • กรณีบริษัท น. ซ. และ พ. แม้โจทก์อ้างเหตุว่าดอกเบี้ยประเมินคลาดเคลื่อน ก็ถือว่าได้โต้แย้งแล้วในชั้นคณะกรรมการอุทธรณ์ โจทก์สามารถนำเหตุอื่นมาอ้างต่อศาลเพิ่มเติมได้

 • ศาลวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ให้กู้โดยไม่คิดดอกเบี้ยในขณะที่ตนเองยังมีหนี้สินอยู่ เป็นการไม่มีเหตุผลอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจเรียกเก็บภาษีจากดอกเบี้ยตามราคาตลาด

 • การให้กู้เงินหลายราย โดยไม่มีดอกเบี้ย หรือโดยอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือหรือตอบแทน ถือว่าโจทก์ประกอบกิจการลักษณะธนาคารพาณิชย์ ซึ่งต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ

 • นอกจากนี้ บริษัท พ. และ จ. ได้รับเงินกู้ ก่อนที่โจทก์จะถือหุ้นเกิน 25% จึงไม่เข้าข่าย “บริษัทในเครือเดียวกัน” และ ไม่ได้รับสิทธิยกเว้น ต้องนำดอกเบี้ยมาคำนวณเป็นรายรับด้วย

สรุป:

ศาลฎีกายึดหลักว่า ผู้ฟ้องต้องจำกัดการโต้แย้งเฉพาะเรื่องที่ได้อุทธรณ์ไว้ต่อคณะกรรมการฯ แล้วเท่านั้น หากไม่ได้อุทธรณ์ไว้เดิม จะไม่สามารถยกขึ้นฟ้องในภายหลังได้ เว้นแต่เป็นเหตุเพิ่มเติมในเรื่องที่ได้อุทธรณ์ไว้แล้ว โดยเฉพาะกรณีภาษีอากร เจ้าพนักงานมีอำนาจประเมินรายได้ตามราคาตลาด หากเห็นว่าไม่มีเหตุอันสมควรให้ยกเว้น

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเว็บไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

**********************************************

06/7

หัวข้อเรื่อง: การคิดเบี้ยปรับตามสัญญาให้บริการและการสะดุดหยุดลงของอายุความ

วิเคราะห์ฎีกาที่ 3389/2552

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

คำพิพากษาฎีกานี้เกี่ยวข้องกับ

 1. สัญญาให้บริการและการเรียกเก็บเบี้ยปรับ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381

 2. การขาดอายุความของสิทธิเรียกร้องค่าเช่า สังหาริมทรัพย์ ตาม มาตรา 193/34 (6)

 3. การสะดุดหยุดลงของอายุความและการเริ่มนับใหม่ ตาม มาตรา 193/14 (1) และ มาตรา 193/15 วรรคสอง

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาเลขที่ 3389/2552

ข้อเท็จจริง

 • โจทก์และจำเลยมีสัญญาให้บริการวงจรสื่อสัญญาณความเร็วสูงภายในประเทศ

 • ในสัญญามีข้อตกลงว่า หากจำเลยผิดนัดชำระค่าใช้บริการ จะต้องเสียค่าปรับในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน (24% ต่อปี)

 • จำเลยผิดนัดชำระหนี้ค่าใช้บริการ และโจทก์ได้ทวงถามหนี้

 • ต่อมาจำเลยได้ส่งหนังสือยืนยันยอดหนี้ที่ค้างชำระ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2545

 • โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2546

ข้อกฎหมายและดุลพินิจของศาล

 1. การคิดเบี้ยปรับตามสัญญา

 • ศาลวินิจฉัยว่า เบี้ยปรับที่โจทก์เรียกคิดในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญา และเป็นเบี้ยปรับตาม มาตรา 381 ไม่ใช่ “ดอกเบี้ย” ซึ่งกฎหมายไม่มีบัญญัติจำกัดอัตราไว้

 • ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้ลดอัตราเบี้ยปรับลงเหลือร้อยละ 15 ต่อปี จึงถือว่าเป็นการใช้ดุลพินิจเพื่อให้เป็นคุณแก่จำเลยแล้ว

 2. เรื่องอายุความ

 • ศาลถือว่าสิทธิเรียกร้องค่าใช้บริการเช่าวงจรฯ เป็นการเช่าสังหาริมทรัพย์ จึงมีอายุความ 2 ปี ตาม มาตรา 193/34 (6)

 • อายุความเริ่มนับเมื่อถึงกำหนดชำระค่าบริการแต่ละงวด ตาม มาตรา 193/12

 • อย่างไรก็ตาม จำเลยได้มีหนังสือยืนยันยอดหนี้ ทำให้ถือได้ว่าเป็นการ “รับสภาพหนี้” ตาม มาตรา 193/14 (1)

 • ดังนั้น อายุความเดิมจึง “สะดุดหยุดลง” และเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2545 (วันถัดจากหนังสือยืนยัน)

 • โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2546 จึงยังไม่เกิน 2 ปี สิทธิเรียกร้องไม่ขาดอายุความ

เหตุผลของศาล

ศาลวินิจฉัยว่า

 • โจทก์มีสิทธิคิดเบี้ยปรับตามสัญญา

 • หนังสือยืนยันยอดหนี้ของจำเลยถือเป็นการรับสภาพหนี้ ทำให้อายุความสะดุดและเริ่มนับใหม่

 • การฟ้องจึงยังอยู่ภายในกำหนดอายุความ โจทก์ไม่เสียสิทธิเรียกร้อง

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้

ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเว็บไซต์

www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*******************************************

06/8

หัวข้อ: การฟ้องเรียกคืนเงินจากลาภมิควรได้และประเด็นอายุความในกรณีหลงผิด

วิเคราะห์ฎีกาที่ 3393/2535

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

คดีนี้เกี่ยวข้องกับกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วย ลาภมิควรได้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 และ 419 รวมถึงการนับอายุความในการเรียกร้องสิทธิตาม มาตรา 177 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาเลขที่ 3393/2535

ข้อเท็จจริง:

โจทก์จ่ายเงินค่าสมนาคุณให้จำเลย โดยหลงผิดคิดว่าจำเลยมีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว ต่อมาเมื่อทราบว่าเป็นการจ่ายโดยความหลงผิด จึงมีหนังสือเรียกเงินคืน แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินคืน โดยอ้างว่าจำเลยได้รับลาภมิควรได้

ข้อกฎหมาย:

 1. จำเลยยกข้อต่อสู้ว่าโจทก์ขาดอายุความ โดยระบุว่าโจทก์ทราบถึงสิทธิตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2530 และโจทก์ยื่นฟ้องในวันที่ 4 มีนาคม 2531 ซึ่งเกินระยะเวลา 1 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 ที่กำหนดอายุความการเรียกคืนลาภมิควรได้ไว้ 1 ปี

 2. คำให้การของจำเลยดังกล่าว ศาลวินิจฉัยว่าเป็นการให้การโดยชัดแจ้ง แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความ ซึ่งชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง

 3. แม้โจทก์ไม่ได้อ้างสิทธิตามมาตรา 1336 ที่เกี่ยวกับสิทธิในการติดตามทรัพย์คืน ศาลวินิจฉัยว่า ฟ้องนี้เป็นคดีเรียกคืนลาภมิควรได้ มิใช่ติดตามทรัพย์คืน

ดุลพินิจของศาล:

ศาลวินิจฉัยว่า โจทก์ทราบสิทธิในการเรียกคืนตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2530 ซึ่งเป็นวันที่ออกหนังสือเรียกเงินคืน แต่โจทก์ฟ้องวันที่ 4 มีนาคม 2531 จึง ฟ้องช้ากว่ากำหนด 1 ปี ทำให้ขาดอายุความตามกฎหมาย ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง

เหตุผลที่ศาลวินิจฉัยในคดี:

 • โจทก์ใช้สิทธิตาม มาตรา 406 เพื่อเรียกคืนลาภมิควรได้ แต่ต้องอยู่ภายในกรอบเวลาอายุความตาม มาตรา 419

 • ศาลยึดถือวันที่โจทก์แจ้งทวงเงินเป็นวันที่โจทก์ทราบสิทธิ์อย่างชัดเจน

 • จำเลยให้การชัดแจ้งเรื่องอายุความ ศาลจึงมีหน้าที่วินิจฉัยเรื่องอายุความโดยตรงแม้ไม่มีการยกมาตราโดยตรงในฟ้อง

สรุป:

การเรียกคืนลาภมิควรได้จะต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่วันที่รู้ถึงสิทธิและรู้ตัวผู้ต้องคืนเงิน หากฟ้องเกินศาลจะยกฟ้องทันที แม้โจทก์จะมีหนังสือเรียกเงินก็ตาม หากฟ้องเกินเวลา ถือว่าขาดอายุความ

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเวปไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*******************************************

06/9

หัวข้อ: การอายัดเงินปันผลและเงินอื่นของสมาชิกสหกรณ์ – ศึกษาจากคำพิพากษาฎีกาที่ 6839/2555

วิเคราะห์ฎีกาที่ 6839/2555

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

คดีนี้เกี่ยวข้องกับ กฎหมายว่าด้วยการบังคับคดีแพ่ง และ พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 โดยเฉพาะบทบัญญัติว่าด้วยการจัดสรรกำไรสุทธิของสหกรณ์ (มาตรา 42 และ มาตรา 60) ซึ่งเชื่อมโยงกับหลักการห้ามเจ้าหนี้อายัดทรัพย์บางประเภทของลูกหนี้ที่ยังไม่ถึงกำหนดจ่ายแน่นอน

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาเลขที่ 6839/2555

ข้อเท็จจริง

เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือแจ้งอายัดเงินของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสมาชิกสหกรณ์ โดยมีใจความสำคัญว่า ขออายัดเงินปันผลและเงินอื่นๆ ของจำเลยที่ 1 ทุกปี จนกว่าจะชำระหนี้ตามหมายบังคับคดีเสร็จสิ้น

ข้อกฎหมายและดุลพินิจของศาล

 1. ประเด็นแรก: เงินปันผลจากหุ้น

 • ตาม พ.ร.บ.สหกรณ์ฯ มาตรา 60 (1) บัญญัติให้สหกรณ์จัดสรรกำไรสุทธิประจำปีเป็นเงินปันผลตามจำนวนหุ้นของสมาชิกแต่ละคน

 • ศาลวินิจฉัยว่า เงินปันผล ถือเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีของสมาชิก และสามารถคาดหมายได้ว่าจะมีการจ่ายทุกปี จึงสามารถ อายัดได้ ตามคำขอของเจ้าพนักงานบังคับคดี

 2. ประเด็นที่สอง: เงินอื่น ๆ เช่น เงินเฉลี่ยคืน และเงินค่าหุ้น

 • ตามมาตรา 60 (2) กำหนดว่าเงินเฉลี่ยคืนจะจ่ายให้แก่เฉพาะสมาชิกที่ได้ทำธุรกิจกับสหกรณ์เท่านั้น และจ่ายเฉพาะในปีที่มีธุรกรรม

 • ส่วนเงินค่าหุ้น ตามมาตรา 42 วรรคสอง ห้ามเจ้าหนี้เรียกร้องเงินค่าหุ้นของสมาชิกเว้นแต่สมาชิกภาพจะสิ้นสุด

 • ศาลเห็นว่า เงินเฉลี่ยคืนและเงินค่าหุ้น เป็นรายได้ที่ไม่สามารถคาดหมายแน่นอนได้ว่าแต่ละปีจะต้องมีการจ่ายหรือไม่ จึง ไม่อยู่ในข่ายที่สามารถอายัดได้เป็นประจำทุกปี

 3. ข้อสังเกตจากศาล

 • คำขออายัดของเจ้าพนักงานมีลักษณะรวม “เงินอื่นๆ” โดยไม่จำแนก ทำให้ตีความรวมถึงเงินค่าหุ้นด้วย ซึ่งไม่สามารถอายัดไว้ได้ในช่วงเวลาที่สมาชิกภาพยังไม่สิ้นสุด

 • ศาลวินิจฉัยว่า เจ้าพนักงานบังคับคดี แจ้งอายัดเกินกว่าที่กฎหมายอนุญาต จึงเป็นการอายัดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในส่วนของเงินเฉลี่ยคืนและเงินค่าหุ้น

สรุปเหตุผลที่ศาลวินิจฉัย

ศาลจำแนกประเภททรัพย์ของลูกหนี้ว่า

 • เงินปันผล = อายัดได้

 • เงินเฉลี่ยคืน + ค่าหุ้น = อายัดไม่ได้ เว้นแต่สมาชิกภาพสิ้นสุดและถึงเวลาชำระ

เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องอายัดเฉพาะส่วนที่กฎหมายอนุญาต และไม่สามารถอายัดรายได้หรือทรัพย์ที่ยังไม่ถึงกำหนดจ่ายหรือไม่แน่นอนล่วงหน้า

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเว็บไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*********************************************

06/10

หัวข้อเรื่อง: หนังสือมอบอำนาจที่ไม่ขีดฆ่าอากรแสตมป์ ใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้

วิเคราะห์ฎีกาที่ 5013/2541

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

กฎหมายเกี่ยวกับอะไร:

– กฎหมายภาษีอากร โดยเฉพาะ ประมวลรัษฎากร มาตรา 103, 118

– กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วย การรับฟังพยานหลักฐาน และ อำนาจฟ้องของผู้รับมอบอำนาจ

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาเลขที่ 5013/2541

ข้อเท็จจริง:

โจทก์มอบอำนาจให้บุคคลหนึ่ง (บ.) ดำเนินคดีแทนตน โดยทำหนังสือมอบอำนาจและติดอากรแสตมป์ครบถ้วน แต่ มิได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ ตามที่กฎหมายกำหนด จากนั้นจึงยื่นหนังสือมอบอำนาจต่อศาลเป็นหลักฐานแสดงอำนาจฟ้อง

ข้อกฎหมายและดุลพินิจของศาล:

 • ตาม มาตรา 118 แห่งประมวลรัษฎากร บัญญัติว่า “ตราสารใดที่ติดอากรแสตมป์แล้ว แต่ยังมิได้มีการขีดฆ่าอากรแสตมป์ให้ถูกต้อง ย่อมถือว่ายังไม่ปิดอากรโดยบริบูรณ์ และไม่อาจนำตราสารนั้นมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้”

 • ศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์มิได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ เป็นการขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายโดยชัดแจ้ง และถึงแม้จะส่งต้นฉบับให้ศาลแล้ว ก็ไม่อาจถือเป็นการขีดฆ่าที่ถูกต้องตามความหมายของ มาตรา 103

 • แม้จำเลยจะไม่คัดค้านเรื่องนี้โดยตรง แต่ได้ให้การว่าหนังสือมอบอำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งทำให้ศาลสามารถหยิบยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยได้เอง เพราะเกี่ยวข้องกับ อำนาจฟ้อง ซึ่งเป็น ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ที่ศาลยกขึ้นได้เองแม้คู่ความจะไม่อ้าง

 • ดังนั้น หนังสือมอบอำนาจที่ไม่ขีดฆ่าอากรแสตมป์ จึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

 • ที่โจทก์ขออุทธรณ์โดยขอนำหนังสือมอบอำนาจกลับไปขีดฆ่าอากรแสตมป์ภายหลัง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่อาจกระทำได้แล้ว เพราะเลยขั้นตอนในกระบวนพิจารณาไปแล้ว

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ คำถามที่ปรึกษาบ่อยในเว็บไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

***********************************************

X